19 พฤษภาคม 2024
hilight-หลัก Story

สเปอร์ส vs เชลซี : “ดาร์บี้แมทช์”ที่มากกว่า”ดาร์บี้แมทช์”

เกมบิ๊กแมทช์ประจำสัปดาห์นี้ หลายคนสะดุดสายตามาที่ “มันเดย์ไนท์ ฟุตบอล”

“ไก่เดือยทอง” ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ เปิดบ้านทำศึกลอนดอน ดาร์บี้แมทช์ กับ “สิงห์บลูส์” เชลซี ที่ต่างกันสุดขั้วในยุคใหม่ของฟุตบอลอย่างพรีเมียร์ลีก ทั้งในแง่ของความสำเร็จ และการลงทุน

เชลซี เหนือกว่าบานเบอะเยอะแยะ แล้วก้าวไปเป็นหนึ่งในโลโก้สำคัญของพรีเมียร์ลีก นับตั้งแต่ โรมัน อบราโมวิช เข้ามา ตรงกันข้ามกับ สเปอร์ส ที่ปรับปรุงชัดเจนอยู่เรื่องเดียวคือ การสร้างสนาม และผูกสัมพันธ์อันดีกับสหรัฐอเมริกา เพราะยก NFL มาแข่งขันที่เดียวในระดับสนามสโมสร

อย่างไรก็ตาม ซีซั่นนี้ทั้งสองทีมเหมือนกันอยู่อย่างก็คือ ประสบความล้มเหลวจากปีก่อน จนไม่ได้ไปเล่นฟุตบอลยุโรปอย่างน่าผิดหวัง

แต่ เชลซี ผิดหวังคูณสอง เพราะฟอร์มการเล่นไม่ดี ทั้งที่ได้อดีตกุนซือเก่าของไก่อย่าง เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ คุมทัพ แต่ผลงานไม่กระเตื้องอยู่กลางตาราง ผิดกับ สเปอร์ส ที่ทะยานทำสถิติดีที่สุดหลังจากผ่านคุ้งน้ำแรกไปใน 10 เกม

คู่นี้จะซัดกันวันจันทร์ต่อเช้าวันอังคารเวลาตี 3

ไม่ได้เป็นเกมชี้แชมป์ แต่มันอาจจะเป็นประเด็นจุดเปลี่ยนสำคัญของใคร….ก็เป็นไปได้!!!

๐ “ลอนดอน”มหานครแห่งดารบี้แมทช์

ปุจฉา คุณรู้ใช่มั๊ยว่า มีทีมฟุตบอลในมหานครลอนดอนทั้งสิ้นกี่ทีม

วิสัชนา คือ 31 สโมสรด้วยกัน

พรีเมียร์ลีก 7 ทีม, เดอะ แชมเปี้ยนชิพ 2 ทีม, ลีกวัน 2 ทีม และลีก ทู 2 ทีมในระดับอาชีพ รวม 13 ทีม ที่เหลือคือ ระดับสมัครเล่น อีก 18 ทีม รวมเป็น 31 สโมสร

แยกจำแนกออกมา “ลอนดอนดาร์บี้แมทช์” แบ่งออกเป็นชุดใหญ่ที่เป็นคู่ปะทะ 5 ภูมิภาค กับอีก 1 คู่บู๊เถื่อน

1.นอร์ธลอนดอน ดาร์บี้

2.นอร์ธ เวสต์ ลอนดอน ดาร์บี้

3.อีสต์ ลอนดอน ดาร์บี้

4.เซาธ์ ลอนดอน ดาร์บี้

5.เวสต์ ลอนดอน ดาร์บี้

6.เซาธ์ ลอนดอน vs อีสต์ ลอนดอน ระหว่าง มิลล์วอลล์กับ เวสต์ แฮม หรือ “The Dockers derby” ที่เค้ายกมาว่า เตะแบบลืมลวก….ดิบจริง ๆ

ถ้าพบกันก็คือ ลอนดอน ดาร์บี้แมทช์ ปกติ ……แต่ถ้าจำแนกหรือเจาะจงจะเป็นดังนี้

 สเปอร์ส กับ เชลซี คือ นอร์ธ เวสต์ ลอนดอน ดาร์บี้

บันทึกในตำนาน เชลซี คือหนึ่งในสองทีมที่ลงเล่นเกมแรกของดาร์บี้แมทช์กรุงลอนดอน(London derbies) เกิดขึ้น 11 พฤศจิกายน 1905 ที่สนามแคมป์ตันสเตเดี้ยม         เชลซี บุกไปชนะ แคมป์ตัน โอเรียนท์ (ปัจจุบันคือ เลย์ตัน โอเรียนท์) 3-0 เป็นเกมระดับดิวิชั่น 2

ถ้าเป็นเกมลีกสูงสุดคือ 9 พฤศจิกายน 1907 ก็ยังเป็น เชลซี ที่กำสถิตินี้ ด้วยการเอาชนะ วูลวิช อาร์เซนอล ที่สแตมฟอร์ด บริดจ์ 2-0

ก่อนที่ อาร์เซนอล จะย้ายจาก วูลวิช มาอยู่ที่ ลอนดอน โบโร่ห์ ออฟ อิสลิงตัน  และกลายมาเป็นคู่ปะทะของ สเปอร์สในกาลต่อมา

ทั้งหมดนี้คือ London derbies

๐ เปิดตำนาน”สเปอร์ส”ที่ดีที่สุุด

เราจะเห็นได้ว่าการออกสตาร์ทในฤดูกาลนี้ของพลพรรคลูกหนัง “ไก่เดือยทอง” ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ ร้อนแรงอย่างเหลือเชื่อเกินคาด

มีสถิติของฟุตบอลอังกฤษ และวงการลูกหนังยุโรป เกิดขึ้นมาด้วยการออกสตาร์ทชนะได้ต่อเนื่องทั้งหมด 11 นัดติดต่อกัน ซึ่ง “ไก่เดือยทอง” เป็นทีมที่ทำเอาไว้

น่าสนใจก็คือ การทำทีมของ วิลเลี่ยม เอ็ดเวิร์ด หรือ “บิลล์” นิโคลสัน ยอดกุนซือจากสคาร์โบโร่ ที่ทั้งตัวทั้งใจทั้งชีวิตทั้งจิตวิญญาณ ทั้งหมดนี้เขามีให้กับ สเปอร์ส

 นิโคลสัน อยู่กับ สเปอร์ส ตั้งแต่เป็นเด็กฝึกหัด ปี 1936 ก่อนจะขึ้นชุดใหญ่ในอีก 2 ปีต่อมา

เป็นนักเตะให้กับ สเปอร์ส ยาวนานถึง 17 ปี ในตำแหน่งเซ็นเตอร์ฮาล์ฟ กับ ในขวา

เขาเป็นกำลังสำคัญในการคว้าแชมป์ “ดิวิชั่น 2” ในซีซั่น 1949-50

ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อ ซีซั่นต่อมา สเปอร์ส คว้าแชมป์ดิวิชั่น 1 หรือลีกสูงสุดสมัยแรกของสโมสรทันที!!!

วงเล็บว่า ทีมชุดแชมป์ดาวยิงสูงสุดมีชื่อว่า วิลเลี่ยม วอลเตอร์ส หรือ ซอนนี่ (William (Sonny) E. Walters) ชื่อเล่นเหมือน ซน ฮึง มิน นักเตะชุดปัจจุบันกันเลย!!!

นิโคลสัน ลงเล่นตั้งแต่ปี 1938–1955 และแขวนสตั๊ดหลังจากเป็น “วัน คลับ แมน” 314 นัด และเข้าไปเรียนโค้ชกับสมาคมฟุตบอลอังกฤษ ในปี 1955 ก่อนจะรับงานเป็นมือขวาของ วอลเตอร์ วินเตอร์บอทท่อม กุนซืออังกฤษ ไปบอลโลก 1958

กระทั่ง 11 ตุลาคม 1958 บอร์ดบริหารสเปอร์ส ได้เชิญ นิโคลสัน มาเจรจาเพื่อรับงานกุนซือแทนที่ จิมมี่ แอนเดอร์สัน ที่มีปัญหาสุขภาพ และพาทีมอยู่อันดับ 6 จากท้ายตาราง

เกมแรก นิโคลสัน นำทัพถล่ม เอฟเวอร์ตัน ยับเยินถึง 10-4 และในซีซั่นต่อมา เขาพาทีมชนะ ครูว์ อเล็กซานดร้า 13-2 และนำก่อนในครึ่งแรกถึง 10-0

แน่นอนว่า มันเป็นสถิติใหม่ของทีม

กระทั่งทีมมาออกสตาร์ทได้อย่างสุดยอดในการเปิดฤดูกาล 1960-61

พวกเขาเริ่มต้นด้วยชัยชนะเหนือ เอฟเวอร์ตัน ที่ไวท์ ฮาร์ท เลน 2-0 จากนั้นก็เริ่มเดินเครื่องไล่ทะลวงชัยชนะต่อเนื่อง ถล่มประตูได้เกิน 2 ประตูได้ถึง 8 นัด

ก่อนจะเสมอในวันที่ 10 ตุลาคม 1960 ด้วยการเสมอกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในบ้านตัวเอง 1-1

ปีนั้น พวกเขาแพ้นัดแรกต้องเลยมาถึง 12 พฤศจิกายน 1960 โดยบุกไปแพ้ เชฟฟิลด์ เวนส์เดย์ 1-2 ในนัดที่ 17

ก่อนจะปิดซีซั่นด้วยการเป็นแชมป์จากการลงเตะ 42 นัด ชนะ 31 เสมอ 4 แพ้ 7 ยิงได้ถึง 115 ประตู เสีย 55 ลูก

สเปอร์ส ออกสตาร์ทเกมแรกชนะก็จริงแต่อยู่อันดับ 6 แต่หลังจากนั้นพวกเขาอยู่อันดับ 1 มาตลอดตั้งแต่นัดแรกจนถึงนัดสุดท้าย

ยุคนั้น สเปอร์ส กำลังพุ่งขึ้นมาแบบสุดๆ ได้ดับเบิ้ลแชมป์ในปีนั้น ต่อด้วยเอฟเอ คัพ ปี 1962 และครองแชมป์ยูฟ่า คัพ วินเนอร์ส คัพ ปี 1963

เท่ากับ สเปอร์ส ที่ได้แชมป์ฟุตบอลลีก 2 สมัยในประวัติศาสตร์ มีคนชื่อ นิโคลสัน อยู่ในทีมทั้งในฐานะนักเตะ และฐานะผู้จัดการทีม(1958–1974)

๐ ประวัติศาสตร์ไม่สับสน(นะ)

หลายคนเข้าใจคลาดเคลื่อนว่า “จิมมี่ กรีฟส์” หัวหอกตัวดังผู้ทำประตูให้กับสโมสรสเปอร์ส มากที่สุด 220 ประตู จาก 321 นัด(ก่อนจะถูก แฮร์รี่ เคน ทำลาย) เป็นกำลังสำคัญของทีมชุดนั้น

อันที่จริงแล้ว กรีฟส์ ย้ายมาร่วมทัพ สเปอร์ส ในเดือนธันวาคม ปี 1961 ซึ่ง สเปอร์สได้แชมป์ไปแล้ว

ซึ่งปีนั้นถือว่า กรีฟส์ วุ่นวายมากๆ

…… กรีฟส์ ย้ายจาก เชลซี ไปอยู่กับ เอซี มิลาน เมื่อเดือนมิถุนายน 1961 ค่าตัว 80,000 ปอนด์ ด้วยสัญญา 3 ปี แต่เขาไม่พอใจการย้ายไปอิตาลี และหลังจากลงเล่นไป 14 นัด ซัดไป 9 ลูก ก็ขอย้าย ซึ่ง มิลาน ก็ไปดึงตัว ดิโน่ ซานี่ มาแทน ทำให้ กรีฟส์ ได้ย้ายกลับอังกฤษสมใจอยาก โดยที่ เชลซี กับ สเปอร์ส อยากได้ตัว ก่อนที่ กรีฟส์ จะเลือกมาอยู่กับ “ไก่เดือยทอง”

เท่ากับเขาจากเอซี มิลาน ด้วยค่าตัว 99,999 ปอนด์ ที่ไม่ถึง 100,000 ปอนด์ก็เพราะ สเปอร์ส ไม่ต้องการให้ กรีฟส์ กดดันกับค่าตัวระดับ 6 หลักคนแรกของประเทศนั่นเอง

หมายความว่า นักบอลที่ยิงได้มากที่สุดของสเปอร์ส ไม่ได้อยู่ในชุดสุดยอดแห่งการสตาร์ท และเป็นดับเบิ้ลแชมป์นั่นเอง!!!

…..เหมือนกับกรณี แกรี่ ลินิเกอร์ กับ เอฟเวอร์ตัน นั่นแหละฮะ ที่ “ทอฟฟี่เมน” เบิ้ลแชมป์ซีซั่น 1984-85 แล้ว ลินิเกอร์ ย้ายมาซัมเมอร์ ปี 85 นั่นแล………..

ที่สำคัญก็คือ หนึ่งในเส้นทางที่ สเปอร์ส ครองแชมป์ลีก คือบุกชนะ เชลซี 3-2 ที่เดอะ บริดจ์

 กรีฟส์ พังประตูใส่ สเปอร์ศ ให้กับ เชลซี อีกต่างหาก!!!!

๐ การกลับมาอีกครั้งของ”พอช”

27 พฤษภาคม 2014 สเปอร์ส ประกาศแต่งตั้ง เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ อดีตกองหลังทีมชาติอาร์เจนติน่า ในคนละภาพที่ผู้คนจดจำกับสไตล์ละติน คือ ผมยาว เล่นหนัก

 เขามาในมาดหนุ่มมาดเนี๊ยบ

โปเช็ตติโน่ ถือเป็นกุนซือคนที่ 10 ในรอบ 12 ปีของ สเปอร์ส ที่วนเวียนอยู่เหมือนอ่างน้้ำวน ทำให้ พอช เหมือนกับว่า จะโดนมนต์สะกดตรงนั้นเล่นงานจากฝีแข้งพวกฟะรังคี ต่อไป

แต่ พอช ค่อย ๆ ทำงานได้อย่างน่าสนใจ ตลอดการทำทีมตั้งแต่ซีซั่น 2014 จนถึงปี 2019 รวม 293 นัด มีโอกาสเข้้าชิง 2 ครั้งแต่พลาดพ่ายทั้งสองครา

ถ้วยแรกคือ ปีเริ่มต้น ซีซั่น 2014 แพ้ เชลซี ในนัดชิงลีกคัพ 0-2

ถ้วยหลัง คือ ปีสุดท้้าย ซีซั่น 2019 แพ้ ลิเวอร์พูล ในนัดชิงยูฟ่า แชมเปี้้ยนส์ลีก 0-2

โปเช็ตติโน่ ออกจาก สเปอร์ส แบบไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก หลังการออกสตาร์ทที่ไม่ดีหลังการพลาดถ้วยยุโรป ซึ่งมันเป็นการเปลี่ยนประวัติศาสตร์อย่างสิ้นเชิงของทั้งผู้แพ้และผู้ชนะ

ความผูกพันของ โปเช็ตติโน่ ที่มีอยู่กับทีมสเปอร์ส มากไปกว่าการทำงานถือบังเหียน 5 ปีกว่า แต่ลูก ๆ ของเขาเริ่มต้นใช้ชีวิตการทำงานที่บ้านไก่เช่นกัน

เซบาสติอาโน่ ลูกชายคนโต หลังจากสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาวิทยาศาสตร์การกีฬาประยุกต์จากมหาวิทยาลัย Southampton Solent ก็ทำงานกับทีม 3 ปี เขาอยู่กับทีมแม้ว่าคุณพ่อจะถูกปลดไปแล้ว ก่อนจะลาออกหลังจากการมาของ โชเซ่ มูรินโญ่ ที่ยกทีมงานมาเอง

ลูกชายคนเล็ก ชื่อ เมาริซิโอ เหมือนกัน ชื่อเต็มคือ เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ กริปปัลดี้ ก็เซ็นสัญญาเป็นนักบอลอาชีพที่สเปอร์ส และปัจจุบันอยู่กับ กิมนาสติก ทีมในสเปน ด้วยวัย 22 ปี

ขณะที่ เซบาสติอาโน่ เป็นโค้ชฟิตเนสให้เชลซี หลังจากตามพ่อไปทำงานทั้งที่เปแอสเช และที่ลอนดอน

จันทร์นี้จะเป็นครั้งแรกที่ สเปอร์ส จะได้ต้อนรับ “โปเช็ตติโน่ แฟมิลี่” กลับบ้านอีกครา

งานนี้ผูกปมปนกัน รับรองว่ามันส์แน่!!!

#บีแหลมสิงห์

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *