6 พฤษภาคม 2024
hilight-หลัก

FA Community Shieldเกมเปิดม่านฟุตบอลอังกฤษ

การเดินทางอันแสนยาวไกลของฟุตบอล “เปิดม่านบอลอังกฤษ” หรือ คอมมิวนิตี้ ชิลด์ ในปัจจุบัน เดินทางมาถึงปี 2023

หลังจากจัดขึ้น “อย่างเป็นทางการ” ครั้งแรกเมื่อ 115 ปีที่แล้ว หรือ ปี 1908

เป็นการนำแชมป์ “ลีกสูงสุด” หรือ “พรีเมียร์ลีก” ในปัจจุบัน เตะกับ “แชมป์บอลถ้วย” หรือ “เอฟเอ คัพ” แต่ในปีนี้เนื่องจาก “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เก่งเกินต้านกับการเป็น “เทรเบิ้ลแชมป์” หรือ “ทริปเปิ้ลแชมป์” เมื่อซีซั่นที่แล้ว ทำให้คู่ปะทะคือ “ไอ้ปืนใหญ่” อาร์เซนอล รองแชมป์พรีเมียร์ลีก

ว่ากันว่าคู่นี้แหล่ะ จะเป็นคู่ตุนาหงันใหม่ในการไล่ล่าแชมป์ในซีซั่นนี้

การเตะจะมีขึ้นในวันอาทิตย์นี้ เวลา 22.00 น.ทรูวิชันส์ ถ่ายทอดสดให้สมาชิกได้ชมกันถึงบ้าน และแน่นอนที่สุดว่า นี่คือแมทช์ที่บอกคุณ ๆ ทุกคนว่า….ฟุตบอลอังกฤษกลับมาแล้ว!!!

๐ ปฐมบทกับรายการชิงโล่

ฟุตบอลรายการ “คอมมิวนิตี้ ชิลด์” ถือกำเนิดครั้งแรกในชื่อเชอริฟฟ์ ออฟ ลอนดอน แชริตี้ ชิลด์ หรือ The Sheriff of London Charity Shield

ผู้คิดค้นรายการนี้คือ “เศรษฐีเครื่องดื่ม” เซอร์โธมัส เดวาร์ ชาวสกอตแลนด์ ซึ่ง เซอร์โธมัส เดวาร์ กับ จอห์น เดวาร์ พี่ชายของเขาเป็นเจ้าของสุรายี่ห้อ “เดวาร์” ที่โด่งดังไปทั่วโลก โดยสืบทอดกิจการต่อจากพ่อ

“บอลการกุศล” ที่ เซอร์โธมัส จัดขึ้นมานี้นำทีมอาชีพ เตะกับทีมสมัครเล่น เพื่อหาเงินช่วยเหลือผู้ป่วยในโรงพยาบาลผู้ยากไร้ และมูลนิธิต่างๆ

เกมแรกเกิดขึ้นเมื่อ 19 มีนาคม 1898 ระหว่าง เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด กับ คอรินเธียนส์ ผลคือเสมอกันแบบบัวน้ำไม่ช้ำไม่ขุ่น 0-0

เตะใหม่ก็ยังเสมอกันอีก 1-1 ทำให้ได้แชมป์ร่วม และจัดต่อเนื่องมา 10 ปีจนถึงปี 1907 กระทั่ง สมาคมฟุตบอลอังกฤษ หรือเอฟเอ เข้ามารับไอเดียไปจัดต่อในปี 1908

รายการ The Sheriff of LondonCharity Shield ถูกปัดฝุ่นขึ้นมาอีกทีในปี 1931 ใช้ชื่อว่า “Fundraising matches”

ตามคำแนะนำของ ชาร์ลส์ เวฟอร์ด-บราวน์ ซึ่งเป็นสมาชิกของคณะกรรมการขอชิลด์ชุดเดิม เพื่อระดมทุนสำหรับ National Playing Fields Association หรือ Fields in Trust ซึ่งเป็นองค์กรการกุศลของอังกฤษ ก่อตั้งขึ้นในปี 1925(พ.ศ. 2468)

องค์กรจัดตั้งขึ้นโดยนายพลจัตวา เรจินัลด์ เคนติช และ ดยุค ออฟ ยอร์ค ซึ่งต่อมาคือ พระเจ้าจอร์จ ที่ 6 ซึ่งเป็นประธานคนแรกที่ปกป้องสวนสาธารณะ และพื้นที่สีเขียว รวมถึงการส่งเสริมการหาพื้นที่ที่สามารถเข้าถึงได้สำหรับการเล่นกีฬา และนันทนาการในเมืองต่างๆ ของอังกฤษ

การดวลแข้งจัดขึ้นอีกรวม 7 แมทช์ สลับทีมมาเตะคือ อาร์เซน่อล, สเปอร์ส และวัตฟอร์ด แต่ทีมที่ได้เล่นตลอดคือ คอรินเธียนส์ ครั้งสุดท้ายจัดขึ้นปี 1983 วัตฟอร์ด ชนะ คอรินเธียนส์ 6-1

โล่รางวัล The Sheriff of London Charity Shield มีความสูงถึง 6 ฟุต สูงสุดของโทรฟี่ฟุตบอลที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอล

ปัจจุบันยังอยู่ที่พิพิธภัณฑ์สโมสรวัตฟอร์ด

๐ สู่ยุคใหม่แห่งการชิงโล่

ปี 1908 มีการยกระดับรายการนี้ ด้วยการนำแชมป์ลีกดิวิชั่น 1 มาเจอกับ แชมป์ลีกทางตอนใต้(The Champions of The Football League and the Southern Football League) เล่นที่สแตมฟอร์ดบริดจ์ และใช้ชื่อว่า “แชริตี้ ชิลด์”

แมทช์แรกเป็นการโคจรมาเจอกันระหว่าง “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แชมป์ลีกดิวิชั่น 1 กับ “ทหารเสือราชินี” ควีนส์พาร์ค เรนเจอร์ส แชมป์ลีกทางตอนใต้ ผลเสมอ 1-1 ทำให้มาเตะกันใหม่ ปรากฏว่า แมนยูฯ ชนะ 4-0 ซึ่งเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่รายการมีเตะรีเพลย์

จากนั้นการเตะก็ต่อเนื่องมาและมีไทม์ไลน์ที่น่าสนใจอยู่มากมาย

ปี 1910 บันทึกไว้ว่า ไบรท์ตัน ที่เอาชนะ แอสตัน วิลล่า 1-0 ทำให้ “นกนางนวล” เป็นทีมเดียวจาก “แชมป์ลีกตอนใต้”ที่ครองแชมป์รายการนี้

ปี 1913 แชริตี้ ชิลด์ ปรับโฉมด้วยการแข่งขันกันระหว่าง ทีมรวมดารานักเตะอาชีพ กับ ทีมรวมดารานักเตะสมัครเล่น ซึ่งทีมอาชีพ ชนะ 7-2 เล่นที่สนามเดอะ เดน ของมิลล์วอลล์

ปี 1921 เป็นครั้งแรกที่นำทีมแชมป์ลีก เจอกับแชมป์เอฟเอ คัพ ปรากฏว่า สเปอร์ส ชนะ เบิร์นลี่ย์ 2-0 ในการเตะที่ไวท์ ฮาร์ท เลน

ปี 1949 เป็นครั้งแรกที่มี “แชมป์ร่วม” เกิดขึ้น เมื่อ พอร์ทสมัธเสมอกับ วูล์ฟแฮมป์ตัน 1-1 เตะที่ไฮบิวรี่พร้อมกับจัดกรอบกติกา หากเสมอกันจะให้ครองแชมป์ร่วมกัน เป็นกฎกติกาตั้งแต่ปี 1949 มาจนถึงปี 1993 จากนั้นหากเสมอกันให้ดวลจุดโทษตัดสิน

ปี 1950 ครั้งเดียวที่คู่แข่งขันทั้ง 2 ทีม ไม่เกี่ยวกับระดับสโมสรเลย เตะที่เดอะ บริดจ์ ของเชลซี ระหว่าง ทีมฟุตบอลโลก 1950 ของอังกฤษ(England World Cup XI) พบกับ ทีมสมาคมฟุตบอล ชุดเตะทัวร์แคนาดา (F.A. Canadian Touring Team)

ทีมชาติมีตัวเจ๋งๆ อย่าง บิลลี่ ไรท์, อัล์ฟ แรมซี่ย์, ทอมฟินนี่ย์ และสแตน มอร์เตนเซ่น เป็นหลักก่อนชนะ ทีมทัวร์เที่ยวแคนาเดี้ยน 4-2 ที่มี เซอร์สแตนลี่ย์ แมทธิว กับ แนต ลอฟเฮาส์เป็นตัวหลัก

ปี 1961 ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ เป็นทีมแรกที่ได้ดับเบิ้ลแชมป์ ทำให้ต้องมาเตะด้วย ก็คือ ทีมรวมดาราสมาคมฟุตบอลอังกฤษ หรือ เอฟเอ

ปี 1971 อาร์เซน่อล เป็นทีมที่ 2 ที่คว้าดับเบิ้ลแชมป์ แต่ลงเตะไม่ได้เพราะติดนัดอุ่นเครื่อง!!!! ทำให้ เลสเตอร์ ซิตี้ แชมป์ดิวิชั่น 2 ส้มหล่นได้สิทธิ์ลงเล่นในถิ่นตัวเองคือ ฟิลเบิร์ต สตรีท และชนะ ลิเวอร์พูล รองแชมป์ เอฟเอ คัพ 1-0

ส่งผลให้ เลสเตอร์ ซิตี้ จึงเป็นทีมเดียวที่ได้แชมป์รายการนี้ โดยที่ไม่ได้ผ่านการเป็นแชมป์ลีกดิวิชั่น 1, แชมป์ลีกทางตอนใต้ และแชมป์เอฟเอ คัพ

ปี 1972 “ไอ้หัวแกะ” ดาร์บี้ เคาน์ตี้ แชมป์ลีก กับ“ยูงทอง” ลีดส์ ยูไนเต็ด แชมป์ เอฟเอ คัพ ไม่ยอมร่วมแข่งขัน ทำให้ “สิงห์เผ่นมิดแลนด์” แอสตัน วิลล่า แชมป์ดิวิชั่น 3(มาได้ไง) มาเตะกับ “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ได้อันดับ 4 ของลีกสูงสุด ที่บ้านของ วิลล่า ก่อนที่ แมนฯซิตี้ จะชนะ 1-0

ปี 1974 คือครั้งแรกที่รายการนี้เตะสนาม เวมบลีย์เอ็ม ไพร์พูล สเตเดี้ยม ซึ่งการนำรายการนี้มาแข่งขันที่เวมบลีย์ ในยุคแห่งหอคอยคู่ มาจากแนวคิดของ เท็ด โครเกอร์ เลขาธิกา

รสมาคมฟุตบอลอังกฤษ (เอฟเอ) ในยุคนั้น ซึ่งการประเดิมแข่งเวมบลีย์หนแรก ก็งามหน้าทันที เมื่อ เควิน คีแกน กองหน้า ลิเวอร์พูล มีเรื่องกับ บิลลี่ เบรมเนอร์ ห้องเครื่องของ ลีดส์ ทั้งคู่จึงโดนปรับ 500 ปอนด์ แถม คีแกน โดนแบน 3 นัด ส่วนเบรมเนอร์ โดนไป 8 เกม

ปี 2001-2006 ต้องไปแข่งใน มิลเลนเนียม สเตเดี้ยม กรุงคาร์ดิฟฟ์ ประเทศเวลส์เพราะเวมบลีย์ปิดปรับปรุง น่าแปลกตรงที่ หนแรกและหนสุดท้ายที่มิลเลนเนียม สเตเดี้ยม นั้น “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ได้แชมป์ทั้งหมด ปี 2001 ชนะ แมนฯยูไนเต็ด 2-1 และปี 2006 ชนะ เชลซี 2-1

ปี 2007 เกมกลับมาจัดที่ “นิว เวมบลีย์” ซึ่ง แมนฯยูไนเต็ด ยิงจุดโทษปราบ เชลซี ได้สำเร็จ

ปี 2012 ต้องไปเล่นกันที่วิลล่า พาร์ค เนื่องจากตรงกับวันพิธีปิดโอลิมปิกเกมส์พอดิบพอดี แม้ว่าจะคนละสนาม เพราะพิธีปิดใช้ โอลิมปิก สเตเดี้ยม แต่เป็นเพราะอยู่ที่กรุงลอนดอน เหมือนกัน ทำให้ต้องแยกกลุ่มมวลชนออกมาที่มิดแลนด์ ซึ่ง แมนฯซิตี้ ชนะ เชลซี 3-2

ปี 2022 ซีซั่นล่าสุด เลสเตอร์ ได้จัดแมทช์ปีนี้เป็นครั้งที่ 2 เพราะ นิว เวมบลีย์ ติดจัดนัดชิงบอลหญิง ยูโร 2022 และเป็นสนามบอลสโมสรลำดับที่ 11ที่ได้เป็นเจ้าภาพจัดดวลแข้ง ซึ่ง ลิเวอร์พูล ทุบ แมนฯซิตี้ 3-1

จนถึงนาทีนี้ มีทั้งหมด 25 สโมสรที่ครองโล่ชิมลางนี้ โดยที่ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ครองโล่มากที่สุด 21 สมัย(แชมป์เดี่ยว 17/แชมป์ร่วม 4) และ อาร์เซนอล กับ ลิเวอร์พูล ได้เท่ากันที่ทีมละ 16 ครั้ง

หากนับเฉพาะตัวเลขการเป็นแชมป์แล้ว ทีมแชมป์ลีกสูงสุด ครองโล่มากกว่าคือ 53 ครั้ง และแชมป์บอลถ้วยเอฟเอ คัพ ได้ครองไป 28 ครั้ง

บี แหลมสิงห์

++++++++++++++++++++++++++++++

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *