6 พฤษภาคม 2024
hilight-หลัก Sport

ผ่านัดชิง!คาราบาวคัพเป้าหมายที่ตรงกันของ“ผี-สาลิกา”

คาราบาว คัพ รอบชิงชนะเลิศ เดินทางมาถึงอย่างรวดเร็ว หลังจากเมื่อปีที่แล้ว ผู้เขียนอย่างผม เดินทางไปทำข่าวนัดชิงชนะเลิศ ก่อนจบลงด้วยชัยชนะด้วยการดวลจุดโทษมาราธอนของ ลิเวอร์พูล เหนือ เชลซี

ขณะที่ปีนี้เป็นการโคจรมาเจอกันของ “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กับ “สาลิกาดง” นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด ในเวลา 23.30 น.และไม่มีการถ่ายทอดสดผ่าน “โทรทัศน์” ใด ๆ แต่ถ่ายในแอพทรูไอดี
           
นี่คือการโคจรมาเจอกันของสองทีมที่อยู่ในช่วง “ตั้งลำใหม่”
           
แมนฯยู เปลี่ยนผู้จัดการทีม ส่วน นิวคาสเซิ่ล เปลี่ยนหัวเรือใหญ่เจ้าของทีม โดยเป้าหมายนั้นแตกต่างกัน
           
แมนฯยู ต้องการกลับสู่ยอดดอย กลับสู่จุดสูงสุดที่พวกเขาเคยเป็น หลังจากไม่เคยกลับมาอย่างยิ่งใหญ่ได้อีกเลยนับตั้งแต่การวางมือของ เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน หลังจบซีซั่น 2013 นั่นคือไม่ได้แชมป์พรีเมียร์ลีก ซึ่งการได้แชมป์บอลถ้วย ไม่ได้สลักสำคัญกับเรื่องของความเป็นน้ำหนึ่งอันเดียวกัน ไม่ได้เป็น “เร้ด เดวิลล์” อันทรงพลัง อันน่าเกรงขาม

แต่กลับมาเห็นได้ในซีซั่นนี้
             
นิวคาสเซิ่ล ที่หลับสนิทยาวเหยียด ไม่เคยเฉียดความสำเร็จ แม้ว่าจะได้คนที่เป็นแฟนบอลพันธุ์แท้ของตัวเองอย่าง ไมค์ แอชลี่ย์ เข้ามาเป็นเจ้าของทีม สุดท้ายมาอยู่ในมือของ ซาอุดีอาระเบีย ทำให้พวกเขามีเจ้าของทีมที่ “มั่งคั่งที่สุดในโลก” กำลังทำทีมค่อย ๆ เป็น ค่อย ๆ ไป ตามลำดับขั้นตอน อาจดูเบากว่า เชลซี ในยุคเริ่มต้นของ โรมัน อบราโมวิช
แต่ดูแรงกว่า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในยุคเริ่มต้นของ ชีค มาห์นซู
           
ทั้งสองทีมเหมือนกันตรงที่ สามารถซื้อนักเตะได้ตามที่ต้องการจากเงินของสโมสร แต่ประเด็นคือ แมนฯยู ซื้อนักบอลได้ “ชื่อใหญ่กว่า” จะแพงมากแพงน้อยก็แล้วแต่คนขาย ส่วน นิวคาสเซิ่ล เดินตามกลไกฟุตบอลยุค “มันนี่บอล” อย่างเข้มข้น และน่าสนใจ
           
แต่แชมป์จะมีได้แค่ทีมเดียว…………

🔺🔺🔺🔺🔺🔺🔺🔺🔺🔺

🔴ผ่าทัพแมนฯยู : “ปีศาจแดง” อยู่ได้ด้วยตัวของตัวเอง การเป็น “แบรนด์กีฬา” และ “แบรนด์ฟุตบอล” ที่ยิ่งใหญ่ไม่มีทางหลุดท็อปไฟฟ์ของโลก มูลค่าของพวกเขายังคงหวานหอมชวนดมดอม ไม่ว่าสถานการณ์ทีมนั้นจะเป็นอย่างไร ชื่อของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยังคง “เป็นเงินเป็นทอง” อยู่เสมอ
           
แมนฯยู สามารถที่จะเดินเข้าตลาดเพื่อไล่ล่านักเตะ จริงอยู่ที่ว่าพวกเขาจะต้อง “จ่ายแพงกว่า” ในการคว้าตัวนักบอลเข้ามา ซึ่งเป็นเรื่องที่พวกเขาเข้าใจ และต้องทำใจให้ได้ หลังจากทีมเหมือนจะต้องเริ่มใหม่ทั้งหมดอีกครั้ง หลังจากแต่งตั้ง เอริค เทน ฮาก กุนซือสมองใสชาวดัทช์ เข้ามาคุมทีม
           
สิ่งที่มักจะเป็นข้ออ้างของ ตระกูลเกลเซอร์ อยู่เสมอ ๆ ก็คือ การซื้อนักเตะให้กับกุนซือคนแล้วคนเล่าอย่างเต็มที่ เมื่อ เทน ฮาก เห็น “เชิงลึก” ในคุณภาพของทีม เขาจึงสามารถเข้าตลาดแล้วไปจั่วนักเตะที่ต้องการมาได้ด้วยการใช้เงินไป 200 ล้านปอนด์ กับ ไทโรน มาลาเซีย, แอนโทนี่, กาเซมิโร่ และลิซานโดร มาร์ติเนซ พร้อมกับ คริสเตียน เอริคเซ่น ที่ไม่ต้องจ่ายเงินแม้แต่แดงเดียว  
           
ที่สำคัญคือ การเล่นกับตลาด ด้วยการ “ตัวยืม” อย่างเป็นระบบ เวาท์ เวคฮอร์สท์ กับ มาร์แซล ซาบิเซอร์ คือการทำงานที่น่าสนใจ เพราะ เอริคเซ่น เจ็บ จึงดึง ซาบิเซอร์ ที่ออกบอลได้จากแนวลึกมาเสริม หรือเกมบุกที่เพิ่มมติโดย เวคฮอร์สท์ ซึ่งคล้ายกับที่ เทน ฮาก ใช้ เซบาสเตียน อัลแลร์ ที่อาแจ๊กซ์ รวมไปถึงการที่ มาร์ติน ดูบราฟก้า ถูก นิวคาสเซิ่ล เรียกตัวกลับ ก็เร่งหาตัวแทนและได้ แจ๊ค บัตแลนด์ มาเสริม
           
ประเด็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าของ เทน ฮาก เราเห็นชัดเจนคือ 3 เรื่องนี้ ขณะที่หลายสโมสรมีปัญหา กลับเลือกที่จะไม่แก้
           
ทุกคนเห็นอยู่แล้วว่า เชิงลึกของนักบอลแมนฯยู ถ้ามีการปลุกเรื่อง “สปิริต” ของทีมได้ จะน่ากลัวอย่างมาก และทุกอย่างกำลังเกิดขึ้นในยุคของ เทน ฮาก
           
วิธีการจึงน่าสนใจมาก ๆ เมื่อแนวทาง 4-3-3 หรือ 4-2-3-1 คือการสลับกันเดินเครื่องในทีมเดียวกัน แมทช์เดียวกัน และผันไปตามสถานการณ์
           
อยู่ที่การจัดตัว และวิธีการ แต่บอลของยูไนเต็ด ไม่ว่าจะมาหมากไหน เป้าหมายสุดท้ายอยู่ที่ มาร์คัส แรชฟอร์ด ที่เหมาะกับวิธีการเล่นบอลยาว วิธีการรับลึกของ เทน ฮาก ที่แก้ปัญหาเรื่องการเช็คไลน์ เพราะพวกเขามีตัวแม่นมากมายทั้ง บรูโน่ เฟอร์นานเดส และ กาเซมิโร่

วิธีการเล่นของ ลุค ชอว์ ที่มีผลต่อการบิ้วดิ้งอัพเกม

ตัดปัญหามีโด้กวนตัว ทำตัวกวนใจ ออกไป คือสิ่งสำคัญ ที่่ เทน ฮาก ทำสำเร็จแล้ว

🔺🔺🔺🔺🔺🔺🔺🔺🔺🔺

⚪️⚫️ ผ่าทัพนิวคาสเซิ่ล : การเดินทางของ “สาลิกาดง” น่าสนใจมาก เมื่อการมาของเจ้าของใหม่ “กองทุนเพื่อการลงทุนสาธารณะของซาอุฯ (PIF)” มอบอำนาจการทำงานให้กับ อแมนด้า สเตฟลี่ย์ และพี่น้องรูเบนได้เข้าเทคโอเวอร์สโมสร “สาลิกาดง” นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด ด้วยเงินจำนวน 300 ล้านปอนด์ หรือ 12,000 ล้านบาท เมื่อปลายปี 2021
การเซ็นสัญญาของพวกเขาต่อเนื่องอย่างน่าสนใจทั้งการดึงตัวนักฟุตบอลเข้ามาเสริมทีมจนแทบจะ “พลิกโฉมหน้า” สโมสรไปแล้ว รวมไปถึงการเจรจานอกสนาม นั่นคือเปลี่ยนกุนซือจาก สตีฟ บรู๊ซ มาเป็น เอ๊ดดี้ ฮาว
4 คน ในช่วงวินเทอร์ ตลาดแรกยุคเงินซาอุฯ นั่นคือ คีแรน ทริปเปียร์ แบ๊กขวาทีมชาติอังกฤษ จากแอตเลติโก มาดริด 12 ล้านปอนด์, แดน เบิร์น เซ็นเตอร์แบ๊กเด็กท้องถิ่น มาจากไบรท์ตัน 13 ล้านปอนด์, คริส วู้ด กองหน้ามนุษย์ไม้ จากเบิร์นลี่ย์ 25 ล้านปอนด์ และ บรูโน่ กีมาไรส์ มิดฟิลด์แซมบ้า จากโอลิมปิก ลียง 33.3 ล้านปอนด์ บวกกับแบ๊กซ้ายตัวยืม แมตต์ ทาร์เก็ตต์จาก แอสตัน วิลล่า

พวกเขารอดตกชั้นอย่างสบาย ๆ
           
มาถึงซัมเมอร์ 2022 น่าสนใจว่า 4 คนแรก ที่ดึงเข้ามาเสริมทีมนั้น เป็น “ทีมรับ” ทั้งหมด
           
แม็ตต์ ทาร์เก็ตต์ ได้รับโบนัสชิ้นใหญ่จากผลงานดีระหว่างการยืมด้วยการซื้อขาด 15 ล้านปอนด์ และการมาของ นิค โป๊ป ประตูจอมหนึบทีมชาติอังกฤษ จากเบิร

์นลี่ย์ 10 ล้านปอนด์ รวมถึง อเล็กซ์ เมอร์ฟี่ย์ กองหลังจากกัลเวย์ ยูไนเต็ด
           
แน่นอนที่สุด ด้วยการเป็นทีมพรีเมียร์ลีก หรือจะด้วยอะไรก็แล้วแต่ ทีมสามารถปาดหน้าแชมป์ เซเรีย อา อิตาลี อย่าง เอซี มิลาน แล้วปิดดีล สเวน บ็อทมัน ปราการหลังจากลีลล์ 32 ล้านปอนด์ แอด-ออนส์ อีก 2.5 ล้านปอนด์ พร้อมเซ็นสัญญา 5 ปี
           
จากนั้นคือ อเล็กซานเดอร์ อิซัค กองหน้าทีมชาติสวีดิช จากเรอัล โซเซียดัด ในราคาสถิติสโมสร 63 ล้านปอนด์
           
ก่อนจะมาในตลาดหน้าหนาว ซึ่งเป็น รอบที่ 3 ยุคของซาอุดี้ ด้วยการซื้อ แอนโธนี่ย์ กอร์ดอน จากเอฟเวอร์ตัน 45 ล้านปอนด์
           
เป็นการซื้อไล่ลำดับ “เกรดนัดบอล” ไล่ระดับจาก“C+” ค่อยๆ ไต่ไปจนถึง “B” ตามสูตร
           
วิธีการเล่นของ ฮาว คือ 4-3-3 หรือ 4-3-2-1 กำลังลงตัวในทุกตำแหน่ง มีความเข้าใจในเกม มีความเหนียวแน่น โดยเฉพาะแนวรับที่ลงตัวมากด้วยการขยับ ฟาเบียน แชร์ มายืนเซ็นเตอร์ขวาข้างถนัดแล้วให้  บ็อทมัน ยืนเซ็นเตอร์ซ้าย และ แดน เบิร์น ที่พร้อมตายถวายหัวเพื่อทีมยืนแบ๊กซ้าย
           
ขณะที่แดนกลาง อาการบาดเจ็บของ จอนโจ้ เชลวี่ กลายเป็นสิ่งที่ช่วย “ปลดล็อก” ความคิด รวมถึงความเกรงใจของ ฮาว โดยให้ บรูโน่ กีมาไรส์ ได้ปักตรงกลาง โดยมีลูกหาบซ้ายขวาขนาบด้านข้าง ซึ่งลงตัวโดย ฌอน ลองสต๊าฟฟ์ และโชลินตอน ที่กลายร่างจากกองหน้ามาเป็นมิดฟิลด์ ที่ทรงพลังมากในการไล่ล่า
           
ส่วนอ็อปชั่นเกมรุก ปัญหาอยู่ที่ว่าหลังบอลโลก ดูเหมือนว่า มิเกล อัลเมร่อน ดูจะเบา ๆ เพลาลงไป อาจเป็นเพราะเครื่องดับไป ส่วน อแลง แซงต์ แม็กซิแมง ที่ถูกกำหนดกรอบการเล่นให้อยู่แดนบน มีความอันตรายสุด ๆ แต่การออกบอลในจังหวะได้เสีย บางครั้งมันมาจากจังหวะ และทำให้การวิ่งเสียบของ อัลเมร่อน หลายทีคือตีรถเปล่า
           
ในช่วงที่ แม็กซิแมง เจ็บไป การขยับ โชลินตอน ขึ้นมาอยู่ซ้ายบน ก็น่าสนใจ เพราะบอลมันเป็นจังหวะ
           
ทรงนี้ไม่ว่าจะเป็น อิซัค หรือ คัลลั่ม วิลสัน ลงเป็นหน้าเป้าก็ไม่ต่างกัน ซึ่งบางครั้งบางทีบอลของ ฮาว นั้น วิลสัน จะล้ำลึกได้มากกว่า อิซัค ด้วยซ้ำไป

🔺🔺🔺🔺🔺🔺🔺🔺🔺🔺

🟡🟢 ปรีวิวของเกม : แมนฯยู กำลังอยู่ในช่วงที่มั่นใจสุด ๆ พวกเขาเป็นแชมป์รายการนี้ 5 สมัย ปี 1992, 2006, 2009, 2010, 2017 เส้นทางในรอบที่ผ่าน ๆ มาไม่เสียประตูเลย เริ่มจาก รอบ 3 (เหย้า) ชนะ แอสตัน วิลล่า 4-0, รอบ 4 (เหย้า) ชนะ เบิร์นลีย์ 2-0, รอบ 5 (เหย้า) ชนะ ชาร์ลตัน 3-0 ส่วนรอบรองชนะเลิศเล่น 2 เกม (เยือน) ชนะ ฟอเรสต์ 3-0 และ(เหย้า) ชนะ ฟอเรสต์ 2-0
           
3 แข้งไม่ได้เล่นแน่นอนคือ คริสเตียน เอริคเซ่น, อองโตนี่ มาร์กซิยาล และดอนนี่ ฟาน เดอ เบ็ค ข่าวดีคือการได้ คาเซมิโร่ พ้นโทษแบนกลับมา แต่ก็ต้องลุ้นว่า มาร์คัส แรชฟอร์ด ที่บาดเจ็บจากเกมเอาชนะ บาร์เซโลน่า ในช่วงกลางสัปดาห์จะพร้อมลงเล่นหรือไม่ แต่เชื่อว่ายังไงก็เข็นลง ไม่งั้นคงไม่มีใครยิงให้แน่ และอาจจะปรับแท็คติกให้ แรชฟอร์ด ไปยืนหน้าเป้าแล้วดร็อป เว้าท์ เวกฮอร์สต์ ไปเลย โดย แอนโทนี่ ลงมาประสานงานเกมรุกร่วมกับ บรูโน่ เฟอร์นานเดส และจาดอน ซานโช่
           
ทางฝั่ง “สาลิกาดง” หยุดสถิติไม่แพ้ใครในลีกเอาไว้ที่ 17 เกม หลังพ่ายคารังให้กับ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ร้ายไปกว่านั้นยังต้องเสีย นิค โป๊บ นายทวารจอมหนึบที่ดันไปโดนใบแดงจากเกมดังกล่าวด้วย ทำให้มีความเป็นไปได้ที่มือสามอย่าง ลอริส คาริอุส จะได้รับโอกาสลบฝันร้ายจากนัดชิงแชมเปี้ยนส์ลีก ปี 2018 ลงเฝ้าเสา ที่ต้องรอทดสอบความฟิตคือ โจ วีลล็อค ข่าวดีได้ บรูโน่ กิลมาไรส์ พ้นแบนกลับมาคุมแดนกลางได้ทันเวลา ที่ประสานพลังกับ โชลินตอน, มิเกล อัลมิร่อน, และอแล็ง แซงต์-มักซิแม็ง

🔺🔺🔺🔺🔺🔺🔺🔺🔺🔺
           
🟡🟠 11 ผู้เล่นตัวจริงที่คาดว่าจะลงสนาม : แมนฯยู (4-2-3-1): ดาบิด เด เกอา, ดีโอโก้ ดาโลท์, ราฟาแอล วาราน, ลิซานโดร มาร์ติเนซ, ลุค ชอว์, คาเซมิโร่, เฟร็ด, แอนโทนี่, บรูโน่ เฟอร์นานเดส, เจดอน ซานโช่ และมาร์คัส แรชฟอร์ด

นิวคาสเซิ่ล (4-3-3): ลอริส คาริอุส, คีแรน ทริปเปียร์, ฟาเบียน แชร์, สเวน บ็อตมัน, แดน เบิร์น, ฌอน ลองสต๊าฟฟ์, บรูโน่ กิลมาไรส์, โชลินตอน, มิเกล อัลมิร่อน, คัลลั่ม วิลสัน และอแล็ง แซงต์-มักซิแม็ง

 
 🟡🔴 ทิศทางของเกม : อย่าไปเขินไปอาย ถ้วยใบไหนก็มีความสำคัญทั้งนั้น ทุกวันนี้คนเราส่วนใหญ่จะชื่นชอบซึ่งความสำเร็จ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตามแต่
           
ถ้วยลีกคัพ กับคำว่า “มิกกี้เมาส์” มันเกิดขึ้นจากการที่ ลิเวอร์พูล ผู้ยิ่งใหญ่ในยุค 70 กำลังคั่ว 3 แชมป์ใหญ่นั่นคือ บอลลีก, เอฟเอ คัพ และยูโรเปียนคัพ จึงหยอกล้อขั้นแรงใส่ เอฟเวอร์ตัน คู่ปรับร่วมเมืองที่กำลังลุ้นชิงลีกคัพ
           
ประเด็นทุกวันนี้คำว่า “มิกกี้ เมาส์ คัพ” มันแตกต่างออกไปตามความเข้าใจและการรับรู้ แต่สุดท้ายเมื่อเข้าถึงนัดชิงแล้ว ทุกทีมสู้กันเดือด และเดิมพันครั้งนี้ของทั้ง แมนฯยู และนิวคาสเซิ่ล ก็สูงลิบลิ่วเช่นกัน
           
6 ปีแล้วนี่ครับที่ แมนฯยูไนเต็ด ไม่ประสบความสำเร็จอะไรเลย การได้ถ้วยนี้นอกจากจะทำให้ แฟนบอลหายคลั่งแล้ว จะทำให้ เทน ฮาก ทำงานได้ง่ายขึ้นอีกเยอะ และสามารถเดินหน้าหาความสำเร็จได้อีกใน 3 รายการที่เหลือ ที่ใช้คำว่า “ลุ้นแชมป์เต็มตัว” ได้ทุกรายการ
           
หนักกว่าคือ “สาลิกาดง” ที่ไม่เคยโบยบินสู่ความสำเร็จอะไรเลยในประเทศเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1955 หรือ 68 ปีที่แล้ว

พวกเขาเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศรายการใหญ่ที่เวมบลีย์เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เอฟเอ คัพ ในปี 1999 หรือ 24 ปีที่แล้ว

พร้อมกับเป็นความท้าทายในการคว้าแชมป์แรกให้กับตัวเองโดยแชมป์รายการล่าสุดที่พวกเขาได้นั้นต้องย้อนกลับไปในการคว้าแชมป์อินเตอร์-ซิตี้ แฟร์ส คัพในปี 1969 หรือ 54 ปีที่แล้ว
           
เอาเข้าจริง การพบกันในซีซั่นนี้ก็กินกันไม่ลงเสมอ 0-0 แต่การที่ นิค โป๊ป โดนไล่ออกจากเกมพรีเมียร์ลีก ระหว่าง นิวคาสเซิ่ล กับ ลิเวอร์พูล ที่เซนต์ เจมส์ พาร์ค ส่งผลกระทบอย่างแรง เพราะมือ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *