6 พฤษภาคม 2024
hilight-หลัก Story

ชิงลีกคัพ เปิดตำนานยุคใหม่ vs เปิดตำนานฟ้าผ่า

การแข่งขันฟุตบอลคาราบาว คัพ ฤดูกาล 2023-24 เดินทางมาถึงรอบชิงชนะเลิศ เปิดฤกษ์ถ้วยแรกแห่งเกาะอังกฤษ เป็นการเจอกันของสองทีมยักษ์ใหญ่ “สิงห์บลูส์” เชลซี แชมป์ 5 สมัย จะพบกับ “หงส์แดง” ลิเวอร์พุล เจ้าของแชมป์มากที่สุด 9 สมัย ที่สนามเวมบลีย์ ในมหานครลอนดอน

เป็นการรีแมทช์นับเฉพาะการเจอกันในรายการนี้นัดชิง 2 ครั้ง ที่ไม่เคยจบลงด้วยผลเสมอในเวลา!!!

Start of a new era หรือ Reds aim to keep alive quadruple hopes.

จะเป็นแชมป์แรกในยุคใหม่ของ เชลซี ในการทำงานของ ท็อดด์ โบห์ลี่ย์ ที่คลำทางมานานเป็นปี กับ การเดินหน้าสู่4แชมป์มหัศจรรย์ในปีสุดท้ายของ เยอร์เก้น คล็อปป์

มันเป็นการย้อนกลับไปให้ได้เห็นกันว่า ทั้งสองทีมที่ชิงกันไปเมื่อ 2 ปีก่อนในรายการนี้ และเอฟเอ คัพ ณ เวลานั้น เชลซี กำลังอยู่ในช่วงที่เปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญอย่างที่สุด

เช่นเดียวกับ “อดีต” ที่ผลการแข่งขันนัดชิงชนะเลิศ ได้พลิกชะตาของ 2 ผู้จัดการทีมอย่าง เยอร์เก้น คล็อปป์ และเมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ รวมถึงสโมสรต้นสังกัดในเวลานั้นทั้ง ลิเวอร์พูล กับ สเปอร์ส ไปตลอดกาล

ตอกย้ำชัดเจนว่า นี่คือคู่ปะทะที่อยู่คนละฟาก แต่นับตั้งแต่ยุคมิลเลนเนี่ยมเป็นต้นมา คงไม่มีคู่ไหนที่อยู่คนละทิศคนละเมือง แต่ฟาดกันกันหนักขนาดนี้ ทั้งในสนามและนอกสนาม

นี่คือ 4 ประเด็นที่น่าจับตามองไม่ได้น้อยไปกว่า ใครจะลงหรือไม่ลง ใครจะเล่นหรือไม่เล่น หรือใครจะแพ้หรือว่าชนะ

1.แชมป์แรกในยุคใหม่ของ เชลซี

เมื่อ 2 ปีก่อน ผมอยู่ที่นิว เวมบลีย์ รายงานให้กับทุกคนได้ติดตามคือสัมภาษณ์ คุณเสถียร เศรษฐสิทธิ์ กับ คุณยืนยง โอภากุล(แอ๊ด คาราบาว) สองผู้บริหารคนสำคัญของ “คาราบาวแดง” ผ่านทางสถานีโทรทัศน์ PPTV HD 36 ที่ได้ลิขสิทธิ์(ในเวลานั้น) จากสนาม นิว เวมบลีย์ ก่อนที่ชัยชนะจะจบที่จุดโทษ ลิเวอร์พูล กำชัย 11-10 เป็นการยิงจุดโทษไฟนอลส์ที่ยิงกันเดือดสุดในประวัติศาสตร์บอลถ้วยของอังกฤษ

อย่างไรก็ตาม เวลานั้น เชลซี กำลังมีปัญหาก่อนเกมนัดชิงเพียงไม่กี่ชั่วยาม เนื่องจาก โรมัน อบราโมวิช เจ้าของทีมชาวรัสเซีย ถูกบีบให้ “คายทีมทิ้ง” ผลพวงมาจากสงครามที่รัสเซียบุกยูเครน

ข่าวนี้เกิดขึ้นและตีพิมพ์หน้า 1 ของอังกฤษ ก่อนการแข่งขันแค่หนึ่งวัน เชื่อเหลือเกินว่า “บั่นทอน” ความรู้สึกนักฟุตบอลขนาดไหน

พวกเขาต้องแพ้แบบแตกสลายในการดวลจุดโทษทั้งสองเกมในกับ ลิเวอร์พูล ในปีนั้นทั้งลีกคัพ และเอฟเอ คัพ ประเด็นที่น่าสนใจก็คือ นับจากวันนั้นจนถึงวันนี้ เชลซี เปลี่ยนแปลงทุกอย่างไปแบบหน้ามือเป็นหลังมือ

“โรมัน เอ็มไพร์” ได้ถูกเปลี่ยนใหม่แบบยกกระบิอย่างรวดเร็วจากเศรษฐีมะกันอย่าง ท็อดด์ โบห์ลี่ย์ โดยเฉพาะการใช้กุนซือประจำแล้วถึง 3 คนในรอบปีเศษ ๆ ถ้ารวมชั่วคราวและรักษาการณ์คือทะลุไปถึง 5 ราย บวกกับนักบอลที่ขนซื้อมาแบบ “อเมริกันสไตล์”

หากใครไม่ได้ดูบอลมาแค่สักปีเดียว แล้วกลับมาเห็นไลน์อัพ เชลซี ตอนนี้อาจจะสับสนไปเลยก็ได้

เชลซี จัดหานักบอลมาเยอะจนน่าตกใจ ขายนักบอลออกไปก็น่าตกใจเช่นเดียวกัน แต่ระบบหรือสไตล์การเล่นที่ยังหาความชัดเจนไม่ได้เท่าไหร่นัก ดังนั้นบอลนัดเดียวอาจไม่มีปัญหาเท่าไหร่ แต่ระยะยาวอย่างบอลลีก คือชัดเจน เพราะอันดับอยู่กลางตาราง ทั้งที่คู่กลางคือระดับคนละ 100 ล้านปอนด์

2.การเดินหน้าในปีสุดท้ายของ เยอร์เก้น คล็อปป์

หากเราเห็นการทำงานแบบ “อเมริกันสไตล์” ของฝั่งเชลซี พอเหลียวมามองฝั่งนี้ก็คนมะกันเหมือนกัน

แต่ไม่เหมือนกันแม้แต่น้อย!!!

จอห์น ดับเบิ้ลยู เฮนรี่ และคณะเฟนเวย์ ใช้วิธีการเน้น “ความยั่งยืน” ซึ่งเป็นเส้นบาง ๆ ระหว่างคำว่า “ขี้เหนียว”

“ซีซั่นฟ้าผ่า” คือสิ่งที่ผมเรียกมาตั้งแต่ปลายปีก่อน หลังจากมันมีอะไรแปลก ๆ กับชัยชนะที่เหมือนกับกระชากวิญญาณในช่วงท้ายเกม การพลิกกลับมาคว้าชัย แล้วการยิงไปแล้วถึง 44 ประตูในครึ่งหลังครึ่งเดียว เบาที่ไหน

จากนั้น ลิเวอร์พูล ที่กำลังเดินหน้าในทุกรายการ แล้วก็ขึ้นนำจ่าฝูงทั้งที่เป็นปีการอัพเกรดมาเป็น 2.0 ก็กลายเป็นว่า เยอร์เก้น คล็อปป์ ประกาศไขก๊อกลามันซะฉิบเมื่อซีซั่นนี้จบลง

การเดินหน้าสู่4แชมป์มหัศจรรย์ในปีสุดท้ายของ เยอร์เก้น คล็อปป์ จึงถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็น เพราะตั้งแต่ คล็อปป์ ประกาศเลิก ก็แทบจะเหมือนไม่มีอะไรจะมาหยุดพวกเขา แม้จะมีเกมแพ้ที่ อาร์เซนอล แต่นั่นคือการแพ้ได้ เพราะเตะมาตั้งนานในลีกแพ้แค่สองนัด แฟนบอลแท้ ๆ รับได้สบาย

แทคติกต่าง ๆ ของ คล็อปป์ เหมือนกับ “ถูกแทบทั้งหมด” หรือว่าจะจั่วอะไรใส่อะไรลงไปก็ดูเหมือนได้แต่ผลบวก

จุดนี้ต่างกับ เชลซี เพราะ คล็อปป์ อยู่กับทีมมานาน และวางระบบใหม่ที่นำนักบอลมาใส่ระบบ และพลิกแผนเล่นได้หลายหน้า ที่สำคัญคือผลลัพธ์ที่ดีเกิดขึ้นอยู่เสมอ

แต่ถามว่า ลิเวอร์พูล จะกวาดทุกแชมป์หรือไม่นั้น นี่จากใจเลยไม่เคยคิดแม้แต่นิดเดียว

โดยเฉพาะการที่คุณจะต้องลุ้นชิงชนะเลิศ แบบเกมเดียวจบถึง 3 รายการ มันไม่ต่างอะไรกับ “เสี่ยงเหรียญ”

3.”ดาร์บี้แมทช์”คนละเมือง

นี่คือการเจอกันของ inter-city rivalry เพราะตั้งแต่ซีซั่น 2004 เป็นต้นมาถึงวันนี้ 20 ปีเจอกันอะไรมากถึง 63 นัด!!!!

การมาของ โชเซ่ มูรินโญ่ ผู้นำเทรนด์ 4-3-3 กับ ราฟา เบนิเตซ ผู้นำเทรนด์ 4-2-3-1 ปะทะกันเป็นปฐมบท 3 ตุลาคมปี 2004 จากนั้นทั้งสองทีมโคจรมาปะทะกันมากมายเหลือเชื่อ

20 ปีมานี้เจอกันในคัพไฟนอลส์ ถึง 4 ครั้ง บอลแชมเปี้ยนส์ลีก 10 นัด นับว่าดุดันมาก

สถิติทั้งหมดคือ ลิเวอร์พูล ชนะ 85 เชลซี ชนะ 65 และเสมอกัน 46 เกม

ความสูสีก็คือ ก่อนที่ ลิเวอร์พูล จะชนะ 4-1 เมื่อเดือนที่แล้วในพรีเมียร์ลีก ปรา

กฎว่าคู่นี้เสมอติดต่อกันนานถึง 7 เกมด้วยกัน รวมถึงมี 4 เกมที่ยิงกันไม่ได้ ซึ่ง 2 ในนัดคือนัดชิงลีกคัพ กับ เอฟเอคัพ 2022

คู่ปะทะคู่นี้จึงกลายเป็นที่หยิบยกเป็นประเด็นตลอด 2 ทศวรรษ กับเรื่องราวต่าง ๆ มากมายที่เกิดขึ้นแบบชนกันเต็ม ๆ

1.มูรินโญ่ โดนไฮแจ๊คบนเรือยอร์ช ทำให้มาคุมเชลซี ส่วน ลิเวอร์พูล ต้องไปคว้า ราฟา

2.มูรินโญ่ พาทีมต่อเวลาทุบ ลิเวอร์พูล 3-2 ครองแชมป์แรกบนเกาะอังกฤษ นั่นคือลีกคัพ

3.ประตูผี(ที่ไม่ใช่ผัดไท) ของ หลุยส์ การ์เซีย ทำให้ ลิเวอร์พูล ผ่าน เชลซี ในรอบตัดเชือกยูซีแอล 2005 ก่อนไปสร้างมหัศจรรย์ที่อิสตันบูล

4.เชลซี เกือบควักหัวใจ ลิเวอร์พูล ได้ถึงสองครั้ง นั่นคือจะเซ็นสัญญา สตีเว่น เจอร์ราร์ด แต่สุดท้ายปิดดีลไม่สำเร็จ

5.เคนนี่ ดัลกลิช คุมทีมเป็นนัดสุดท้ายของการคัมแบ๊กรอบที่สอง คือแพ้ เชลซี 1-2 ชวดดับเบิ้ลแชมป์บอลถ้วย และต้องลงจากตำแหน่งปี 2012

6.มูรินโญ่ คัมแบ๊กทีมคำรบสอง จัดตัวสำรอง 10 คนบุกไปหักคอและสอนเชิง เบรนแดน ร็อดเจอร์ส 2-0 จนทำให้บั้นปลายพลาดแชมป์พรีเมียร์ลีก 2014

7.ลิเวอร์พูล ถลุงชัยเหนือเชลซี 5-3 ในวันฉลองแชมป์พรีเมียร์ลีก สมัยแรกรอบ 30 ปี ที่แอนฟิลด์

8.ชิงแชมป์บอลถ้วย 2 นัด ปี 2022 เสมอกัน 0-0 ทั้งสองนัด และลิเวอร์พูล ชนะจุดโทษทั้งสองเกม

9.ลิเวอร์พูล จะชิงตัว มอยเชส ไคเซโด้ ในตลาดซัมเมอร์นี้ แต่ เชลซี คว้าไปครอง และจากนั้น เชลซี ก็ชิงตัว โรเมโอ ลาเวีย ที่ลิเวอร์พูล หมายปองไปครองได้ในอีกไม่กี่วันต่อมา

ทั้งหมดนี้แค่ อาทิ เท่านั้นสำหรับคู่นี้!!!!

4.การกลับมาชิงกันของ พอช และ คล็อปป์

ผมเขียนเรื่องนี้ในพ็อกเกตบุ๊ค ฉบับแรกในชีวิตที่วางจำหน่ายไปเมื่อปี 2019 “สตอรี่สีแดง YNWA” หลังจากชัยชนะยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก สมัยที่ 6 ของ ลิเวอร์พูล ที่มีเหนือ สเปอร์ส 2-0 ในค่ำคืนที่มาดริด สเปน

เรื่องนี้อยู่ใน Story 12 เรื่องคือ “แชมป์”ที่มีมากกว่าคำว่า”แชมป์”

“หงส์แดง” ลิเวอร์พูล กับ “ไก่เดือยทอง” ท็อตแน่ม ฮ็อต สเปอร์ ที่สลบไสล ในยุคพรีเมียร์ลีก พวกเขาเดินมาถึงวันสุดท้ายของนัดชิงเจ้ายุโรป

เวลานั้นการเป็นแชมป์ลีกพวกเขาทั้งสองไม่เคยได้มานานมาก ๆ(ลิเวอร์พูล 29 ปี สเปอร์ส 58ปี)แต่ได้ยืนหยัดอยู่จนถึงนัดชิงเจ้ายุโรป แต่แชมป์นี้จะทำให้ทีมที่ได้แชมป์จะประสบความสำเร็จรอบด้าน

โดยเฉพาะเรื่องรอบสนาม หลังจากทั้งสองทีมเดินทางมาในแนวเดียวกันแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว

การลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งสำหรับกีฬาก็คือ “การสร้างสนาม” หรือ “บ้านของตัวเอง” เปรียบเสมือนกับการสร้างที่อยู่ของตัวเองให้ดี เมื่อหน้าบ้านหน้ามอง ทุกอย่างก็เหมือนจะกวักมือให้คนอื่นคิดจะมาเยือน

บอกตามตรงจากประสบการณ์ ผมเห็นแอนฟิลด์ครั้งแรก ปี 2004 ไม่ได้ต่างอะไรจากแรกเห็น ไวท์ ฮาร์ท เลน ครั้งแรก ปี 2012

“นี่มันสนามฟุตบอล หรือโกดังเก่า ๆ กันแน่” นี่คือแรกพบกับสนามทั้งสองที่มันเก่าเหลือเชื่อ

ที่สุดแล้ว ลิเวอร์พูล กำชัยในสนาม และต่อยอดธุรกิจได้แบบเต็มแรงเรียม เพราะระบบธุรกิจฟุตบอลของลิเวอร์พูล เดินมา 3 ปีก่อนหน้านั้น มีความชัดเจนก็คือ การใช้ “แบรนด์นำ” มากกว่าใช้ “ผลงานนำ”

“แบรนด์” จะทรงคุณค่าต่อไป ก็ต้องมี “ผลงานที่เป็นรูปธรรม”

ซึ่งถ้วยยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ก็มาแบ่งปันงานของ “แบรนด์”

เยอร์เก้น คล็อปป์ ต่อยอดความสำเร็จของเขา และร่วมสร้างแบรนด์ทีมให้แข็งโป๊ก ด้วยการได้ทั้งหมด 7 แชมป์ที่เรียงต่อกันมา โดยเฉพาะแชมป์พรีเมียร์ลีกที่รอคอยมานานถึง 3 ทศวรรษ

ตรงกันข้ามกับ โปเช็ตติโน่ ที่เขาต้องเสียงานที่เขารักในอีกไม่กี่เดือนต่อมา จากผลพวงของความพ่ายแพ้ในครั้งนั้น และจากวันนั้นถึงวันนี้ สเปอร์ส ยังไม่เฉียดเข้าชิงในรายการใด ๆ อีกเลยเป็นเวลา 5 ปีแล้ว

เขาบอกว่า ไม่เคยคิดฝันในการกลับมาลุ้นแชมป์อีกครั้งที่อังกฤษ และวันนี้ได้กลับมา

แต่คนที่เป็น “เบอร์ใหญ่” ยืนขวางไว้แทบจะเต็มลำ

สุดมันส์แน่นอน

                                                        บี แหลมสิงห์

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *