6 พฤษภาคม 2024
hilight-หลัก Sport Story

🔥Welcome To The Jungle : หลังวันดวลปืน

ผมนั่งดูเทปเกมคู่ ลิเวอร์พูล เสมอกับ อาร์เซนอล 2-2 ในศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ อีกครั้ง แล้วก็ชะโงกหน้ามาเปิดโทรศัพท์ตัวเอง เพื่อดูคำให้สัมภาษณ์ของกุนซือหลังเกม

มิเกล อาร์เตตา อธิบายว่า เหมือนพวกเขากำลัง “เดินหลงป่า” กับการดวลแข้งที่แอนฟิลด์

เนื่องจากฝ่ายของเขาเสียการควบคุมตัวเองครั้งสำคัญ ในการแข่งขันชิงตำแหน่งแชมป์พรีเมียร์ลีก หลังจากไปเสมอกับ ลิเวอร์พูล ที่แอนฟิลด์ 2-2

ความพยายามของกุนซือเดอะ กันเนอร์ส ในการทำความคุ้นเคยกัสภาพแวดล้อมที่ไม่เป็นมิตรของแอนฟิลด์ รวมถึงการที่เขาลงทุนจัดการให้นักบอลฝึกซ้อมโดยใช้เพลง “You’ll Never Walk Alone” ของลิเวอร์พูล

ก็ยังได้ผลกลับคืนมาเสี้ยวเดียวเท่านั้น

ซีซั่นก่อน ทุกอย่างผิดพลาดเมื่อ มิเกล อาร์เตต้า ตบะแตกเข้าไปพัวพันกับการทะเลาะวิวาทกับ เยอร์เก้น คล็อปป์ จากนั้นได้ให้ลูกทีมพุ่งเข้าใส่แบบไม่คิดหน้าหลัง กระทั่ง ลิเวอร์พูล และแอนฟิลด์ ระเบิดความเดือดดาล และอาร์เซนอลพ่ายแพ้ 0-4

“อย่าทำให้ลิเวอร์พูลโกรธ อย่าทำให้แอนฟิลด์โกรธ” เป็นคำพูดที่มีมานาน เช่นเดียวกับคำว่า ทุกอย่างเป็นไปได้เสมอที่แอนฟิลด์

อาร์เซนอล เคยมาหักด่านได้แชมป์บอลลีกนัดสุดท้ายที่นี่ เมื่อปี 1989 เป็นตำนาน “กระชากแชมป์” ตลอดกาล ก็เกิดขึ้นที่แอนฟิลด์

……ซึ่งก่อนเกม ลิเวอร์พูล ได้มีพิธีระลึกถึงผู้วายชมน์ 97 ชีวิตจากเหตุการณ์เอฟเอ คัพ ที่ฮิลล์สโบโร่ ซึ่งก็ตรงกับปีนั้น…….1989

ฟุตบอลมันคลาสสิกตรงนี้……

ดีเลวระคนปนกันไป ผลการแข่งขันที่ได้รับมาต่อเนื่องในช่วงหลัง การที่ อาร์เซนอล “ได้หนึ่งแต้ม” ในเกมนี้ ต้องมาคิดกันใหม่ว่า จะเสียหายหรือไม่อย่างไร

ซีซั่นที่แล้ว อาร์เซนอล เจอกับ ลิเวอร์พูล และไม่มีแม้แต่คะแนนเดียว แถมยังโดนเตะตกรอบคาราบาวคัพ แต่ปีนี้ 2 นัดพวกเขาได้ถึง 4 คะแนนสำคัญไปลุ้นแชมป์

แต่ที่เสียหายแน่นอนก็คือ คอนสแตนติน ฮัตซิดากิส ผู้ช่วยผู้ตัดสิน “ดูเหมือนจะ” สับศอกใส่ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน กองหลังลิเวอร์พูล ในช่วงที่กำลังจะหมดครึ่งแรก เป็นเหตุการณ์ที่ต้องถกเถียงกันต่อไป และอยู่ระหว่างการตรวจสอบจาก Professional Game Match Officials Board (PGMOL)

ก่อนเกมผมบอกไว้ใน BeelamsingLive ว่า อาร์เซนอล มีโอกาสพลาดได้อีก 2 ครั้ง เพราะผมเชื่อว่า แมนฯซิตี้ จะไม่สามารถชนะได้ในทุก ๆ เกมที่เหลือในซีซั่นนี้

อาร์เซนอล ออกนำ 2-0 ในช่วงแรกของครึ่งแรก เป็นภาพสะท้อนที่ยุติธรรมของการแสดงที่โดดเด่นจากต้นซีซั่นมาถึงวันนี้ นี่คือสิ่งที่นำพา อาร์เซนอล มาจนถึงจุดนั้น ลิเวอร์พูล ถูกกดขี่และ 2 เสียงที่ดังในแอนฟิลด์

1.มาจากแฟนอาร์เซนอลที่สนุกสนาน 2.เสียงหงุดหงิดจากเดอะ ค็อป

สิ่งที่น่าสนใจก็คือ BBC จับประเด็นตรงที่ กรานิต ชาก้า ลืมบทเรียนที่ผ่านมา แล้วเข้าไปพัวพันหาเรื่องกับ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ โดยไม่จำเป็น สร้างความเดือดดาลให้นักเตะของลิเวอร์พูล และเช่นเดียวกัน นั่นคือแฟนบอลในแอนฟิลด์ ที่เงียบอยู่ดี ๆ ก็กลายเป็นเหมือนกับคลั่งกันขึ้นมา

Do not poke the bear in the BEARpit!!!!

วินัยคือสิ่งสำคัญจริงๆ ช็อตนั้นมันเปลี่ยนบรรยากาศของสนามไปอย่างสิ้นเชิง และทำให้ทีมสูญเสียวินัยโดยรวม ในช่วงไม่กี่นาทีก่อนพักครึ่ง ความได้เปรียบมหาศาลเหลือน้อยลงไปในทันที

การได้ประตูที่น่าสนใจในช่วงท้ายครึ่งแรกของ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ สามนาทีก่อนพักครึ่ง ปลุกทุกอย่างกลับมา และ อาร์เซนอล ค่อย ๆ ดิ่งลงอย่างช้า ๆ ทุกอย่างมันอาจจะเป็นไปอีกทางถ้าหากว่า สกอร์ 2-2 มาตั้งแต่ต้นครึ่งหลัง

ซาลาห์ พลาดโอกาสตีเสมอ เมื่อยิงจุดโทษไม่เข้าเป้าเป็นครั้งที่ 2 ติดต่อกัน และเป็นหนที่สองในซีซั่นนี้ที่ทีมได้จุดโทษ หลังจาก ร็อบ โฮลดิ้ง กองหลังตัวแทน มาทำฟาวล์ ดิโอโก้ โชต้า แบบเสียเหลี่ยม

เกมยังคงเปิด และโชคดีที่ตัวสำรองของ ลิเวอร์พูล นัดนี้ “มีดีกว่าที่เคย” เพราะเป็นนักบอลประเภทตัวจริงทั้งนั้น ซึ่ง เยอร์เก้น คล็อปป์ ถือว่า “จั่วถูกตัว” และ “ทิ้งไผ่ถูกเวลา”

ธิอาโก้ อัลคันตาร่า กับ ดาร์วิน นูนเญซ ลงมาเพื่อเปิดพื้นที่แนวกระทุ้งทางกว้างเพิ่ม จากนั้นเลือก โรแบร์โต้ ฟิร์มิโน่ เพื่อขยายฐานเกมรับของอาร์เซนอลให้แยกออกจากกัน เพื่อให้ตัววิ่งเสียบจากแนวลึก หรือมุมทะแยงมาได้มากขึ้น

การเล่น “ดับเบิ้ลไพวอท” จากกลางสนาม คือสิ่งที่ คล็อปป์ เลือกเสี่ยง ซึ่งมันอาจไม่เป็นผล หาก อาร์เตต้า ไม่ “จั่วผิดใบ” และ “เลือกผิดแผน” เมื่อเขาใช้ฮาล์ฟแบ๊ก ลงมาอีกคน ซึ่งก็ถือว่า “พลาด” เพราะทีมรับต่ำเกินไป ขณะที่คู่แข่งยืนแจกบอลกันแบบไม่ได้ใครไปกดดันเลย

อาร์เซน่อล ยืนหยัด จำเป็นต้องแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่พวกเขาแสดงให้เห็นบ่อยครั้งในฤดูกาลนี้ เพื่อทานทนต่อแรงกดดัน เมื่อเวลาใกล้หมด แต่ระดับเสียงที่แอนฟิลด์กลับเพิ่มขึ้นดังขึ้น

อารอน แรมส์เดล จึงกลายเป็นฮีโร่ในเกมนี้ ซึ่งเขาเองไม่มีทางเซฟลูกโหม่งของ บ็อบบี้ ได้แน่นอน ไม่มีผู้รักษาประตูคนไหนรับได้ แต่ แรมส์เดล มาแสดงให้เห็นว่า เขาเป็นหนึ่งในนายประตูผู้มาเยือนที่มีไม่มากนัก ที่มีสติพอที่จะเซฟลูกสำคัญ 3 ครั้ง ในฝั่งค็อป สแตนด์

โดยเฉพาะ 2 ครั้งที่เกิดขึ้นในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ

ผมจึงเลือก แรมส์เดล เป็นแมน ออฟ เดอะ แมทช์ เพราะอีกคนที่โดดเด่นเด้งดีดอย่าง อิบราฮิมา โกนาเต้ กำลังจะได้คะแนนแบบ “เต็มสิบ” ถูกปฏิเสธเอาไว้บนเส้นประตูในช่วงเวลาที่แทบจะวินาทีสุดท้าย

มันจบลงด้วยสกอร์ 2-2 และตอนนี้ การลุ้นแชมป์กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ อยู่ในมือของใครกัน

อาร์เซนอล นำ 6 แต้ม เป็นจ่าฝูง ส่วน แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ตามหลังแต่มีเกมในมือและเกมเหย้าที่จะเจอกับ อาร์เซนอล ที่จะมาถึง

เมื่อเป็นแบบนี้ เกมที่แอนฟิลด์ นี่คือ “หนึ่งแต้มที่ได้” หรือ “สองแต้มที่เสียไป”กันแน่?

ไม่ต้องรีบเถียงกัน

คำตอบจะมาได้ก็ต่อเมื่อจบฤดูกาล เมื่อมานับเรื่องสั่งการได้สมบูรณ์

บีแหลมสิงห์

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *