6 พฤษภาคม 2024
hilight-หลัก Sport Story Style

‘คล็อปป์’บุรุษธรรมดาสู่จักรพรรดิ์แห่งแอนฟิลด์ #บีแหลมสิงห์

            ข่าวการอำลาตำแหน่งผู้จัดการทีม “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ของ เยอร์เก้น คล็อปป์ สร้างความสะเทือนไปยังโลกแห่งฟุตบอล

            แฟนบอลเดอะ ค็อปทุกคน ซึม มึน และไม่อยากจะเชื่อ!!!!

            กับกุนซือที่ขั้นชั้นระดับ “ตำนาน” ด้วยวลีและวิธีการที่สุดยอดนั่นคือ เปลี่ยนความสงสัย ให้กลายเป็นความเชื่อ

            สัญลักษณ์ของสโมสรได้หายไปอีกครั้ง หลังจากทุกอย่างเยียวยามาได้หลังจากหมดยุคของ สตีเว่น เจอร์ราร์ด

            ผมเชื่อว่า ทุกคนคงจะได้อ่านเรื่องราวการอำลา และคิดไปต่าง ๆ นาๆมากมาย แต่เอาเถอะ จนแล้วจนรอด เราไม่สามารถจะบอกได้ว่า แท้ที่จริงเหตุผลมันคืออะไรกันแน่

            ทำได้แค่การคาดเดา และอยู่ที่ว่า ใครจะทำใจได้มากกว่ากัน อ่อนนอกแข็งใน หรืออ่อนในแข็งนอก ความเจ็บปวด และการแสดงออกของแต่ละคนไม่เท่ากัน

            มาว่ากันถึง เรื่องราวอันยิ่งใหญ่ที่ทำให้บุรุษหนุ่มคนนี้ กลายเป็น “คิง ออฟ แอนฟิลด์” คนใหม่อย่างเต็มภาคภูมิ……

            นั่นคือวันที่ 1 มิถุนายน 2019 เกมนัดชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ระหว่าง ลิเวอร์พูล กับ สเปอร์ส นี่คือชัยชนะอันยิ่งใหญ่ เป็นเพราะยอดโค้ชอันใหญ่ยิ่ง!!!!

            เหตุการณ์ช็อคแฟนบอลลิเวอร์พูล เมื่อปี 2015 เมื่อ สตีเว่น เจอร์ราร์ด ตัดสินใจเดินออกไปจากแอนฟิลด์ ทำให้สโมสรแห่งนี้กำลังจะขาด”สัญลักษณ์”

            ขาดจิตวิญญาณความเป็นลิเวอร์พูล ฟุตบอล คลับ

            กระทั่งร่างกายที่ถูกควักหัวใจไปหลายเดือน ค่อย ๆ ได้รับการเติมเต็มจากกุนซือคนใหม่ชาวเยอรมนี ผู้มีบุคลิกไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่า สตีวี่จี

            เยอร์เก้น คล็อปป์ กลายเป็นขวัญใจมหาชนอย่างรวดเร็ว

            จะด้วยอะไรก็แล้วแต่ ความเหงา, ความอ้างว้าง, การขาดคนดูแล หรือรักแรกพบ สุดท้าย คล็อปป์ เข้ามาอยู่ในจิตใจของทุกคนเป็นที่เรียบร้อย

            ความหวัง, พลังศรัทธา, ความมุ่งมั่นตั้งใจ และอยู่อย่างรู้ว่าเราคือใคร นี่คือคุณสมบัติของ เดอะ ค็อป(ของแท้) ซึ่งจุดนี้เอง คล็อปป์ ก็มีทุกอย่าง

            ความเจ็บปวดต่อเนื่องเมื่อพาทีมเข้าชิงมาแล้วแล้วแพ้หมด มันเป็นแรงกดดันมหาศาลในการเข้าชิงหนนี้ที่มาดริด

            ลงท้าย เขาเจ็บปวดจากการแพ้ทีมจากมาดริด แต่ให้หลังเพียงปีเดียวก็ไปประกาศศักดาบนแผ่นมาดริดได้อย่างอหังการ์!!!

…..เกมนั้นพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินอย่างแท้จริง หากทีมใดทีมหนึ่งได้แชมป์มันจะเป็นอีกทาง เช่นเดียวกับอีกฝั่งหนึ่งก็จะไปอีกทาง ซึ่งก็ได้เห็นกันในฉากทัศน์ปีต่อ ๆ ไป

เวลานั้นทั้งสองทีม ปรารถนาจะเป็นแชมป์ให้จงได้ โดยที่ สเปอร์ส ไม่เคยได้ถ้วยอะไรมาประดับสโมสร นับตั้งแต่ปี 2008 ที่ได้แชมป์ลีกคัพ

            ลิเวอร์พูล ก็อยากจะทำให้ได้เหมือนกัน เยอร์เก้น คล็อปป์ ต้องการลบฝันร้ายในนัดชิงแชมเปี้ยนส์ลีก ที่เขาเคยพาทีมชิง 2 ครั้งแพ้หมด คือ ดอร์ทมุนด์ ปี 2013 และลิเวอร์พูล เมื่อปีก่อนหน้านั้น 2018

            “เดอะ ค็อป” ทั้งมวลก็รอความสำเร็จมานานถึง 7 ปี ถ้วยสุดท้ายที่ได้ก็คือ “คาร์ลิ่ง คัพ” หรือ “ลีกคัพ” ปี 2012 ที่ชนะจุดโทษ คาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ ในยุคของ เซอร์เคนนี่ ดัลกลิช คุมทัพเป็นสมัยที่ 2

            จากนั้นมา ลิเวอร์พูล เป็นพระรองมาโดยตลอด

            ชิงเอฟเอ คัพ ปี 2012 แพ้ เชลซี 1-2 ยุคคิง เคนนนี่

            เข้ายุค คล็อปป์ ชิงลีกคัพ ปี 2016 แพ้จุดโทษ แมนเชสเตอร์ ซิตี้

            ชิงยูโรป้าลีก ปี 2016 แพ้ เซบีญ่า 1-3

ชิงยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ปี 2018 แพ้ เรอัล มาดริด 1-3

เป็นรองแชมป์พรีเมียร์ลีก 2 สมัย ในปี 2014 และปี 2019 ก่อนชิงแค่สัปดาห์เดียว

เป็นพระรองมา 6 รายการติดต่อกัน แฟนบอลแทบจะทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว

ก่อนจะกำชัยได้ 2-0 ขึ้นสู่ยอดเสาเจ้ายุโรป สมัยที่ 6 และแชมป์แรกของ คล็อปป์ ที่ลิเวอร์พูล

…………..สิ่งสำคัญก็คือ เยอร์เก้น คล็อปป์ ย้ำนักย้ำหนากับเรื่องของการ”ทำงานเป็นทีม”มาโดยตลอด และนำเรื่องนี้เข้ามาบริหารทีม ส่งต่อเข้าถึงทุก ๆ คนในสโมสร จนมีสปิริตที่ดี

สังเกตุจากการให้สัมภาษณ์แต่ละครั้ง เขาจะให้เกียรติทีมงานอยู่ตลอดเวลา เรื่องนี้สำคัญมาก ๆ ทุกคนต้องทำงานร่วมกันไม่ใช่ “วัน แมน โชว์”

ถ้าคุณคือของจริง เก่งจริง…..คุณไม่ต้องแสดง และคุณไม่ต้องแอ๊ค!!!

            คล็อปป์ แสดงเจตนารมณ์ในการทำงานแบบนี้ ตั้งแต่ได้รับโอกาสเข้ามาทำทีมฟุตบอลเป็นครั้งแรก เมื่อปี 2001 กับ ไมนซ์ 05

            “เล่นเพื่อกันและกัน” คือปรัชญาของ คล็อปป์ ทุกคนจะต้อง”แข็งแกร่งไปพร้อมกัน” เพราะฟุตบอลคือการใช้ชีวิตที่พิเศษไปอีกขั้น ดังนั้นทุกคนมีความจำเป็นจะต้องใส่ใจคนรอบข้างอยู่เสมอ

            “หากคุณช่วยคนอื่นให้เล่นดี แล้วเขาก็จะช่วยให้คุณเล่นดีไปด้วย”

            สำคัญที่สุดก็คือ กองเชียร์ก็ได้เติบโตไปด้วย สโมสรก็ได้เติบโตไปด้วย

            การอธิบายถึงการทำงานร่วมกัน ไม่ได้แสดงออกทางภาษาพูดเท่านั้น คล็อปป์ ยังแสดงออกด้วยภาษากายที่ชัดเจน เขาพร้อมที่จะดีใจแบบเป็นบ้าเป็นหลังเมื่อทีมพังประตูได้ และพร้อมที่จะเสียใจไปกับลูกทีมเมื่อความผิดพลาดมาเยือน

            เราจะเห็นได้ว่า เมื่อนักเตะพลาดโอกาสทำประตู คล็อปป์ เลือกจะปรบมือมากกว่าตะโกนสับลูกทีม ซึ่งก็ต้องมีตามปกติอยู่แล้วเรื่องที่ผู้จัดการทีมจะสับนักเตะระหว่างเกม จากนั้นเขาจะไปคุยกับนักเตะ และใช้การ”ฮักกัน…ฮักกัน” ด้วยการเข้าไปสวมกอดนักเตะในทีม

            สิ่งนี้คือการเติมความเข้มแข็งทางจิตใจให้กับนักเตะโดยไม่รู้ตัว เมื่อบวกกับสไตล์การเล่นอันแข็งแกร่ง หรือ “เฮฟวี่เมทัลฟุตบอล” ทำให้ ลิเวอร์พูล เติบโตขึ้นมากใน ค.ศ.นี้

            การเล่นแบบ “ต่อต้านเด็กบู ฟื้นฟูเฮฟวี่” ไม่ได้มาเพียงเพราะจับสลากหรือโชคช่วยโดยแท้

……………………..ไม่เพียงแต่การเล่นที่ดุเด็ดเผ็ดมัน และการคุมทัพที่ตื่นตัวตลอดเวลา เยอร์เก้น คล็อปป์ ใส่ใจอย่างมากในเรื่องของอาหารการกิน และนำเรื่อง โภชนาการการกีฬา เข้ามาช่วยนักเตะ

            ยุคแรกที่เข้ามาทำทีมเมื่อปลายปี 2015 จากนั้นนักเตะในทีมบาดเจ็บที่จุดเดียวกันคือ Hamstring จนถูกเรียกว่า แฮมสตริง ฟุตบอล คลับ

            ทำให้ คล็อปป์ ต้องปรับปรุงแก้ไขในจุดนี้ เราจะเห็นได้ว่ามีการพัฒนาเรื่องของทีมงานทางการแพทย์เพิ่มขึ้น

            ในขณะเดียวกันก็เร่งให้มีนักโภชนาการที่ดี มาปรับจูนเรื่องของอาหารการกินของนักบอล

            ร่างกายของนักกีฬาจำเป็นอย่างมากที่ต้องได้รับสารอาหารอย่างเพียงพอ เพื่อให้ร่างกายทรงประสิทธิภาพมากที่สุด และฟื้นตัวกลับมาให้เร็วที่สุด เพื่อรองรับกับการแข่งขันที่มากขึ้นในทุก ๆ ปี ทั้งสโมสรและทีมชาติ

โมนา เนมเมอร์ หัวหน้าฝ่ายโภชนาการกีฬาที่เคยทำงานให้กับ ทีมชาติเยอรมนี ชุดเยาวชน และสโมสรบาเยิร์น มิวนิค จึงได้มาทำงานที่ลิเวอร์พูล

มีการปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหาร โดยปกติทีมในอังกฤษ จะจัดเมนูให้กับผู้เล่นไม่เกิน 3 ครั้งต่อสัปดาห์ แต่สำหรับ ลิเวอร์พูล ยุคนี้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

ภาพนักเตะที่รีบกินอาหารให้อิ่ม เพื่อที่จะไปทำอย่างอื่น เปลี่ยนไปหมดทุกอย่าง โดยเฉพาะเรื่องการกินอาหารประเภทผัก และสลัดต่าง ๆ มีผลต่อสภาพความฟิตของนักกีฬาอย่างชัดเจนที่สุดในฤดูกาลนี้

………………………สภาพร่างกายได้รับการดูแลที่ดี อาหารการกินที่ถูกต้อง บวกกับสไตล์การเล่นของ คล็อปป์ ที่แตกต่างไปจากเดิม ทำให้นักเตะสามารถรีดพลังก๊อกสองก๊อกสามออกมาได้ในช่วงท้ายซีซั่น

จากเดิมคือ “เกเก้น เพรสซิ่ง” บดแหลกแล้วแหกค่าย ลุยหนักบดทุกจังหวะ

กลับกลายมาเป็นการใช้พละกำลังน้อยลง ไม่ได้ไล่เพรสแบบบ้าเลือด แต่อาศัยจังหวะ ทำให้พวกเขาไม่ใช่ทีมที่วิ่งเยอะ

แต่เป็นทีมที่สปีดเข้าใส่คู่แข่งในระยะประชิดได้เร็วและแม่นยำที่สุด

คล็อปป์ กล้าที่จะเปลี่ยนทัศนคติตัวเองในหลาย ๆ เรื่อง โดยเฉพาะระบบการเล่น

            เขาใช้ทั้งการนำ “นักเตะมาใส่ระบบ” และปรับให้”ระบบปรับตามนักเตะ” เพื่อให้ทีม “มีประสิทธิภาพ” รวมถึงมีความเป็น “ธรรมชาติ” ให้ได้มากที่สุด

            คือคำตอบของทีมในซีซั่น 2018-19 และส่งผลต่อทีมยุคต่อ ๆ มา

            นั่นหมายความว่า ตำแหน่งแนวรุก “3” สามารถสร้างความต่าง ด้วยการพลิกเล่นได้ทุกจุด ไม่เหมือนกับการมาร์คจุดแบบปีก่อน ๆ สิ่งที่ทรงประสิทธิภาพมาก ๆ ก็คือ การเคลื่อนตัวที่เป็นอิสระเวลาไม่มีฟุตบอลของ ซาดิโอ มาเน่ กับ โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่

ระบบนี้ทำให้ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ มีประโยชน์ในการเล่นมากยิ่งขึ้น

เราจะเห็น ซาลาห์ ขึ้นไปยืนตำแหน่งกองหน้าตัวเป้าที่ไม่ได้ไปยืนชิดเซ็นเตอร์แบ๊กฝั่งตรงข้าม ที่มันเปิดพื้นที่ทั้งหมดได้ในเกม

            ทางเลือกมีมากขึ้นกับขนาดทีมที่ใหญ่ขึ้น ดังนั้น จึงมีการแข่งขันกันในทีม ขึ้นอยู่กับว่า เกมๆ นั้น คล็อปป์ จะเลือกใคร และจะเลือกถูกต้องหรือไม่

ยิ่งไปกว่านั้น การเปลี่ยนตัวยังมีทิศทางดีขึ้น และได้ผลแทบจะทุกนัดทั้งในทุกรายการ

            กระทั่งลบฝันร้ายของตัวเองได้สำเร็จ ด้วยการเป็นแชมป์

            นี่คือสิ่งตอบแทน เป็นรางวัลแด่คนทุ่มเท ที่คนอย่างเขาสมควรจะได้รับ………………     

หลังจากทำงานมาทั้งปี ถือว่า คล็อปป์ ก็ปล่อยสุดเหมือนกัน เมื่อเวลาแห่งการเฉลิมฉลองมาถึง

ร้องเพลง กับ แยน ฟอร์ทอฟฟ์

“There are always a couple of people who can tell you, ‘Yeah, but you didn’t win’, but now….. ‘Let’s talk about six, baby, let’s talk about you and me, let’s talk about all the good things and all the bad things there may be.”

แกก็ไหลไปได้มาจากกลุ่มศิลปินวง Salt-N-Pepa

แกปรับเพลงจาก Let’s Talk About Sex จาก SEX มาเป็น SIX……..ร้ายกาจจริง ๆ

หรือการฉลองแทบจะเมาปลิ้นหลังรถในวันฉลองชัย จนหลายคนกลัวว่า บอสจะตกลงมา เนื่องจากนั่งเป็นนักเลงหลังห้อง สร้างความหรรษาให้กับทุกคนได้ทั้งในและนอกสนาม

            ท้ายที่สุดแล้ว ในยุคของ คล็อปป์ เขาทำได้สำเร็จแล้ว……..

พอกันทีกับคำว่า “ปีหน้าเอาใหม่”

จากนี้ไป เดอะ ค็อป กล้าที่จะพูดคำว่า……“ปีหน้าเอาอีก”!!!

……กระทั่งเหตุสำคัญที่ประกาศอำลาสโมสรแบบช็อกแฟน แน่นอนว่า ปีหน้า ซีซั่นต่อไป ลิเวอร์พูล จะไม่มี คล็อปป์ อีกต่อไป

            ทีนี้ชีวิตต้องเดินต่อ แต่ขอเวลาพักใจกันหน่อย ก็ได้แต่หวังว่า คล็อปป์ จะโชคดีในเวทีต่อไป เช่นเดียวกันกับ ลิเวอร์พูล ที่เหมือนกับว่า “ฟ้าผ่ากลางกบาล” มีให้เลือก 2 ทาง 2 ชอยต์ส แค่นั้นแหละ

            1.จะแบบได้คนทำงานสานต่อเหมือน บ็อบ เพสลี่ย์ มาแทนที่ บิลล์ แชงคลีย์

            2.จะแบบได้คนมาสานต่อเหมือน แกรม ซูเนสส์ มาแทนที่ เคนนี่ ดัลกลิช

            นั่นคือไม่ดี ก็พังไปเลย

            หนนี้หลายคนแอบตกใจด้วยซ้ำว่า “ยกทีมย้าย” แต่สมัยนี้เรื่องบอลนี่ธรรมดามาก และถ้าเทียบกับอดีตล่ะคืออะไร

            ลิเวอร์พูล “พุ่ง” ในยุค 70 หรือว่า “พัง” ในยุค “90” ทั้งสองครั้งมี “คนใน” อยู่ในทีมทั้งหมด

            ขึ้นอยู่กับบุญพาวาสนาส่ง ส่วนใครจะเป็นคนที่มาแทนนั้น ยังไม่อยากจะคิด

            คิดให้ คล็อปป์ เปลี่ยนใจ บางทีอาจจะง่ายซะกว่า……….

                                                            บี แหลมสิงห์

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *