7 พฤษภาคม 2024
hilight-หลัก Story

📕เรื่องมันมีที่มา….”แซมบ้า ซีซั่น”

….ทุกอย่างบนโลกนี้ ไม่ใช่เรื่องบังเอิญสักเท่าไหร่หรอกครับจารย์

ส่วนใหญ่จะมีที่มากันทั้งนั้นแหล่ะ ต่างกรรมต่างวาระ

…..ย้อนกลับไปวันนี้เมื่อปี 1988 หรือล่วงเลยมา 35 ปี ตรงกับฤดูกาลแข่งขันฟุตบอลอังกฤษ ปี 1987-88

ท่านจะสังเกตุได้ว่า ลิเวอร์พูล ในซีซั่น 2018-19 และซีซั่น 2019-20 มักจะมีสถิติที่ถูกยกไปเทียบเคียงทีมชุดปี 1987-88 อยู่บ่อยครั้ง ทั้งในตัวเลขมากมาย

ทั้งในสไตล์การเล่น

ปีนั้น เคนนี่ ดัลกลิช คุมทัพอย่างเป็นทางการเป็นฤดูกาลที่ 3 หลังจากออกสตาร์ทอย่างสุดยอดในซีซั่น 1985-86 ด้วยการเป็นดับเบิ้ลแชมป์ทั้งดิวิชั่น 1 และเอฟเอ คัพ

แต่ในซีซั่นต่อมา 1986-87 ลิเวอร์พูล ต้องมือเปล่า พร้อมกับเสียสถิติอันคลาสสิค และเสียนักเตะที่ดีที่สุดคนหนึ่งของทีมไป

นั่นคือ “เพชรฆาตรหน้าติดหนวด” เอียน รัช

ดาวยิงจากเมืองเชสเตอร์ ตัวทีมชาติเวลส์ ที่เคียงบ่าเคียงไหล่กับ เคนนี่ ดัลกลิช มาหลายปีดีดัก ตัดสินใจครั้งสำคัญด้วยการ”จะออกไปแตะขอบฟ้า” ที่ประเทศอิตาลี ในศึกกัลโช่ เซเรีย อา หรือ ซีรีส์ เอ ในสมัยก่อน

“รัชชี่” ประกาศอำลาทีมไว้ล่วงหน้า เพื่อให้ “คิง เคนนี่” มีโอกาสในการ”สร้างแนวรุกใหม่”เมื่อไม่มีทั้งตัวเขาที่ต้องทำหน้าที่ผู้จัดการทีม และกระบี่สุดคมแห่งมังกรเวลส์

ทุกอย่างมันเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง

นาทีนั้นไม่แปลกที่นักบอลอังกฤษ จะลองไปหาความท้าทายในต่างแดน โดยเฉพาะที่อิตาลี มีแข้งดัง ๆ ไปมาแล้วทั้งดังทั้งดับครบเครื่องต้มยำ อาทิ เลียม เบรดี้, จิมมี่ กรีฟส์, เรย์ วิลกินส์

ก่อนหน้านั้น “หงส์แดง” ก็เสีย แกรม ซูเนสส์ กัปตันทีมชุดแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ สมัยที่ 4 ปี 1984 ที่ย้ายไปอยู่กับ “บลูเชอร์คิอาตี้” ซามพ์โดเรีย เพื่อหาความท้าทายใหม่ ๆ โดยไปเล่นกับ เทรเวอร์ ฟรานซิส นักเตะล้านปอนด์คนแรกของอังกฤษ ที่ย้ายจาก น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ ไปโกยเงินลีร์เช่นกัน

…………เมื่อ รัช เซ็นสัญญาไปอยู่กับ ยูเวนตุส(หรือ จูเวนตัส ตอนนั้น) ในราคา 3.2 ล้านปอนด์ ทำให้ เคนนี่ ดัลกลิช ต้องคิดค้นวิธีในเกมรุกใหม่

เพราะที่มีอยู่อย่าง พอล วอลช์ ไม่เพียงพออย่างแน่นอน

ไม่เพียงแต่ซื้อเท่านั้น หนนี้ถือเป็นการ”ปฏิวัติแดงแห่งแอนฟิลด์”อีกครั้งเลยทีเดียว

เคนนี่ ดัลกลิช เข้าไปลุยตลาด เปลี่ยนโฉมหน้าเกมรุกของทีมด้วยการทุ่มเงิน 900,000 ปอนด์ ซื้อตัวปีกจากวัตฟอร์ด นั่นคือ จอห์น บาร์นส์ ที่เคยสร้างผลงานกระชากหลบผู้เล่นบราซิลคนแล้วคนเล่าเข้าไปสังหารที่มาราคาน่า สเตเดี้ยม เข้ามาเติมเกมด้านซ้าย ทำให้ทีมกลับไปเล่นระบบ”มีปีกซ้าย”อย่างเต็มตัวอีกครั้งเหมือนกับยุค 70 สมัยของ สตีฟ ไฮจ์เวย์

ที่มีการเขียนข่าวกันว่า จอห์น บาร์นส์ ก่อนมายัง ลิเวอร์พูล ก็มี แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ให้ความสนใจ แต่เขาเลือกลิเวอร์พูล นั้น

🗓️ เรื่องนี้ตัวผมได้มีโอกาสสัมภาษณ์ จอห์น บาร์นส์ เกี่ยวกับประเด็นนี้ ก่อนจะได้รับคำตอบมาแบบชัดทุกบาร์ เมื่อปี 2011

จอห์น บาร์นส์ บอกว่า ไม่เคยมีใครติดต่อมาหาผม มีทีมเดียวที่ติดต่อมาคือ ลิเวอร์พูล และผมไม่ลังเลที่จะเซ็นสัญญากับยอดทีมทีมนี้…………………..

“อ้าว เร๊อะ!!! แมนฯยูไนเต็ด อยากได้ผมด้วยเหรอ” บาร์นส์ ตอบ “ผมไม่รู้เรื่องนี้มาก่อนเลย ผมรู้อย่างเดียวว่า ลิเวอร์พูล ได้ติดต่อมา และไม่มีทางที่ผมจะปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าวนี้เลย ตอนนั้น ลิเวอร์พูล คือทีมที่ยอดเยี่ยมมาก ๆ ใครก็อยากจะมาเล่นให้”

…..ในฝั่งขวา ดัลกลิช เติม เรย์ เฮาจ์ตัน จาก “ไอ้หัวกระทิง” อ็อกซ์ฟอร์ด ยูไนเต็ด ในราคา 825,000 ปอนด์ เขาเป็นชาวไอริช เหมือนกับ รอนนี่ วีแลน ที่สำคัญสไตล์การเล่นของทั้งสองคนคล้ายกันนั่นคือ วิ่งสู้ฟัด เทคนิคดี เปี่ยมไปด้วยพลัง เป็นประเภทมิดฟิลด์ไดนาโม และทำงานหนักเพื่อทีม

การที่ได้ทั้ง บาร์นส์ และเฮาจ์ตัน เข้ามา คือเหตุผลสำคัญเพราะ เคร็ก จอห์นสตัน ขาลุยคนสำคัญอยู่ในช่วงโรยรา และประกาศแขวนสตั๊คหลังจบซีซั่นนั้น ถือเป็นการเติมเกมด้านข้างที่ดี เนื่องจากที่ผ่านมา จอห์นสตัน สามารถเล่นได้ทั้งสองฝั่ง

ประเด็นสำคัญคือ คู่กองหน้า

บอร์ดบริหารไม่มีอาการมะงุมมะงาหรา โดยไม่ได้รอให้จบซีซั่น ทีมได้จัดการเซ็น จอห์น อัลดริดจ์ กองหน้าที่เกิดที่การ์สตัน ในเมืองลิเวอร์พูล แต่เป็นชาวสาธารรัฐไอร์แลนด์ จาก อ็อกซ์ฟอร์ด ทีมเดียวกับ เฮาจ์ตัน ในสนนราคา 750,000 ปอนด์ ตั้งแต่วันที่ 27 มกราคม 1987 หรือช่วงกลางซีซั่น

“อัลโด้” ที่คว้าแชมป์ลีกคัพ กับ อ็อกซ์ฟอร์ด เมื่อปี 1986 กำลังเล่นดีเมื่อยิงได้ถึง 15 จาก 25 เกม แต่พอย้ายมา ลิเวอร์พูล เขาลงเล่นในลีก 10 นัด ยิงได้แค่ 2 ประตู

หลายคนมองว่า รัศมีของ รัช ยังบดบังอยู่ก็เป็นได้

ที่หนักกว่าก็คือ แฟนบอลยุคนั้นไม่เหมือนตอนนี้ ทุกคนงงเป็นไก่ตาแตกเมื่อเห็น จอห์น อัลดริดจ์ ที่หน้าตาท่าทาละม้ายคล้ายกับ เอียน รัช เหมือนถอดกันมา

แน่นอนว่าไม่ค่อยมีใครเรียก อัลดริดจ์

ทุกคนเรียก “เอียน รัช 2” เพราะยังจำชื่อแกไม่ได้!!!

ดีนะที่นัดชิงลีกคัพ 1987 จอห์น อัลดริดจ์ ไม่ได้มีชื่ออยู่ในทีม ซึ่งการสื่อสารสมัยนั้นค่อนข้างยาก ไม่อย่างนั้นคงจะงงไปมากกว่านี้!!!

ด้วยความเกรงว่า “จะเหมือนกว่าของแท้” หรือไม่อย่างไร ทำให้ จอห์น อัลดริดจ์ ไม่ใส่ “หมายเลข 9” เบอร์เดิมของ เอียน รัช แต่ใส่”หมายเลข 8” เป็นเบอร์ประจำ โดยให้ เรย์ เฮาจ์ตัน เป็นคนสวมเสื้อหมายเลข 9

…..มีบันทึกเอาไว้ว่า แท้ที่จริงแล้ว จอห์น อัลดริดจ์ คือตัวเลือกตัวที่ 3 ของ เคนนี่ ดัลกลิข ในการซื้อมาแทน เอียน รัช

ตัวเลือกแรกก็คือ เดวิด สปีดี้ ดาวยิงชาวสก็อตแลนด์ของเชลซี

ตัวเลือกที่สองก็คือ ชาร์ลี นิโคลัส ของอาร์เซนอล ที่เป็นชาวสก็อตแลนด์เช่นกัน

……..จากนั้นปฏิบัติการณ์ตามล่า “หมายเลข 7 คนใหม่” จึงดำเนินต่อไป เพราะยังไม่มีใครเหมาะสม ตอนนั้นกองหน้าของทีมนอกจาก อัลดริดจ์ ก็มีอีก 3 คน คือ พอล วอลช์, อลัน เออร์ไวน์ และจอห์น ดูร์นิน

ทำให้ “คิง เคนนี่”

ต้องตัดสินใจอีกครั้ง……………

เขาตัดสินใจไปทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป้าหมายอยู่ที่ถิ่นไทน์ไซด์ เนื่องจากหมายเลข 7 ในตำนานของทีม ก็คือ “คิง เคฟ” เควิน คีแกน คือคนที่โลกจดจำ ต่อด้วยตัวของ เคนนี่ ดัลกลิช เอง และเมื่อเขาแทบจะไม่ได้ลงสนามอีกแล้ว

ทำให้ต้องมีตัวแทนที่ใช่

ดังนั้นเช็คสั่งจ่ายจำนวน 1,900,000 ปอนด์ เพื่อเป็นค่าตัวของ ปีเตอร์ เบียร์ดสลี่ย์

ดาวเตะที่มีส่วนสูงเพียง 5 ฟุต 8 จากนอร์ทแธมเบอร์แลนด์ ไร้วี่แววว่าจะเป็นดาวดัง เมื่อต้องพเนจรไปเล่นที่แคนาดา ถึงสองรอบ เคยอยู่กับ แมนฯยูไนเต็ด แต่ไม่เคยลงสนาม กลับมาโชว์ฟอร์มได้ดีกับ “สาลิกาดง” นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด หลังจากย้ายกลับมาจากอเมริกาเหนือ ด้วยค่าตัวเพียง 150,000 ปอนด์

“เบียร์โด้” ถูกเฝ้ามองจากหลายต่อหลายทีม หนึ่งในนั้นคือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในยุคที่ทั้งในยุคของ รอน แอ็ตกินสัน ผู้จัดการทีมจอมโอ่อ่า มาถึงยุคของ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน สมัยที่ยังไม่ได้ประดับยศอัศวิน โดยเฉพาะการที่ติดทีมชาติไปเล่นฟุตบอลโลก ปี 1986 ที่ประเทศเม็กซิโก

“เฟอร์กี้” เคยยื่นซื้อ ปีเตอร์ เบียร์ดสลี่ย์ อย่างเป็นทางการด้วยราคาที่”มากกว่าลิเวอร์พูล” นั่นคือ 2 ล้านปอนด์ แต่ถูกปฏิเสธแบบสิ้นเยื่อขาดใยจาก วิลเลี่ยม แม็คฟอล กุนซือของนิวคาสเซิ่ล ผู้มีส่วนสำคัญในการชุบชีวิตการเป็นนักบอลอาชีพของ เบียร์ดสลี่ย์

“ถ้า แมนฯยูไนเต็ด มาขอซื้อในราคา 3 ล้านปอนด์….ผมก็ไม่ขาย ปีเตอร์ ให้กับพวกเขา!!!!!!” คำพูดอันนี้ เซอร์เฟอร์กี้ ได้เขียนไว้ในหนังสือประวัติของเขาว่า ได้รับคำตอบจาก วิลเลี่ยม แม็คฟอล มาแบบนี้จริงๆ

ลงท้ายกลายเป็น “หงส์แดง” ที่ได้นักเตะหมายเลข 7 คนใหม่ที่ปรารถนา ในราคาเป็นสถิติของสโมสร 1.9 ล้านปอนด์ ข้ามผ่านและก้าวกระโดดหนีทุก ๆ สถิติในการซื้อของทีมไปแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

เนื่องจากทุกดีลก่อนหน้านี้ ไม่เคยมีนักเตะคนไหนของลิเวอร์พูล ฟุตบอล คลับ ค่าตัวถึง 7 หลัก หรือว่าล้านปอนด์เลยแม้แต่รายเดียว!!!

……………ผมมีโอกาสได้ชมฟอร์มการเล่นของทีมชุดนี้ ผ่านทางการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์เพียงเกมเดียวเท่านั้น นั่นคือนัดปิดท้ายฤดูกาล เป็นเกมนัดชิงเอฟเอ คัพ 1988 ซึ่ง ลิเวอร์พูล แพ้พลิกล็อคให้กับ “จอมโหด” วิมเบิลดัน แบบตาหูแหก 0-1 ทั้งที่ก่อนเกมว่ากันว่า ถ้าเป็นมวยนี่เป็นต่อ 100-1 ยังไม่กล้ารอง

นั่นทำให้เรารู้จักคำว่า “อุบัติเหตุทางฟุตบอล” เกิดขึ้นได้ตั้งแต่วันนั้น

แต่การได้เห็นฟอร์มการเล่นจาก VDO ที่ผมกับพระอาจารย์พล ได้ไปสอยมาที่พันธุ์ทิพย์ พลาซ่า ร้านสตาร์ ซอคเกอร์ ได้เห็นการเล่นของทีมทั้งจากไฮไลท์ และฟูลแมทช์ ที่ว่ากันว่า “นี่คือฟอร์มที่ดีที่สุด” ในการไล่ยำ น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ ไส้แตกถึง 5-0

เรียกว่าเป็นอีกม้วนนึงที่เราดูซ้ำ ๆ หลายสิบรอบ ดูกันจน”ม้วนขาด”

แม้ว่า VDO ม้วนนั้น จะมีแค่ 4 ประตูแล้วตัดไปเพราะเนื้อที่ความจุ มันไม่พอก็ตาม……………..

ต้องทึ่งกับฟอร์มการเล่นของทีม ทั้งจังหวะในการเล่น และจังหวะการเข้าทำที่เฉียบขาดมาก ๆ

ชื่อวีดีโอม้วนนั้นก็คือ “Liverpool FC The Mighty Red”

นอกจากแมทช์กับ ฟอเรสต์ แล้ว ยังมีการยิงแฮททริคของ สตีฟ นิโคล ในเกมกับ นิวคาสเซิ่ล และไฮไลท์อีกประมาณ 4-5 แมทช์

จุใจอย่างที่สุด สำหรับเด็กยุคสมัยนั้น…………….


แน่นอนที่สุด ปีแห่งความยิ่งใหญ่ ได้รับการยกย่องยอมรับ จากยอดตำนานนักฟุตบอล, นักข่าว และคู่แข่ง

ที่สุดแห่งที่สุดของฟุตบอลก็คือ เกมที่ไล่ถล่ม น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ 5-0 ที่แอนฟิลด์ ตรงกับวันสงกรานต์ ปี 1988

คือวันนี้เมื่อ 34 ปีที่แล้ว

ว่ากันว่านี่เป็นเกมที่”เอาท์คลาส”อย่างไม่น่าเชื่อ เพราะตอนนั้น ฟอเรสต์ ของกุนซือปากตะไกร “ไบรอัน คลัฟ” ก็ไม่ธรรมดา

แต่ต้องโดนต้อนอย่างยับเยิน

อลัน กรีน เขียนใน BBC World Service ว่า ผู้สื่อข่าวมักจะถูกกล่าวหาว่า พวกคุณสนุกเกินไป ขี้เล่นเกินไปหรือเปล่า กับคำพูดถึงเกมฟุตบอลเกมหนึ่ง แต่ผมยืนยันว่า ผมจะใช้ทุกคำพูดนี้ ประกอบไปด้วย ยอดเยี่ยม, น่าอัศจรรย์ใจ, สุดยอด, มหัศจรรย์ คำทั้งหมดนี้ ลิเวอร์พูล สวมควรได้รับไปทั้งหมด

มัวริซ โรเวิร์ธ ประธานของฟอเรสต์ ผู้พ่ายแพ้ในเกมนี้บอกว่า ถ้าหาก ลิเวอร์พูล เล่นได้แบบนี้ ผมยืนยันว่า ไม่มีทีมไหนในทวีปของเราที่จะต้านทานพวกเขาอยู่ได้

สำคัญที่สุดก็คือนิยามจาก เซอร์ทอม ฟินี่ย์ ตำนานนักเตะทีมชาติอังกฤษ ที่มีรูปปั้นอยู่หน้าสนามของเปรสตัน นอร์ธเอนด์ ซึ่งเข้ามาชมเกมนี้ กล่าวเอาไว้ว่า ทักษะ และความเร็วของเกมถือว่ายอดเยี่ยมมาก การเคลื่อนตัวของนักเตะลิเวอร์พูลมากกว่าคำว่า มหัศจรรย์จริง ๆ

“ฟุตบอลแบบนี้มันไม่ได้เกิดขึ้นทุกที่ มันไม่ได้เกิดขึ้นง่าย ๆ เป็นสไตล์บราซิล ที่ดีกว่าบราซิล”

……….สมค่า สมราคา กับคำว่า “แซมบ้า ซีซั่น” โดยแท้………..

บีแหลมสิงห์™️✍🏻 สวัสดีวันสงกรานต์ครับ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *