6 พฤษภาคม 2024
hilight-หลัก Sport Story

“เบรห์เม่”ด้วยความระลึกถึง #บางโพงพางการเขียน

อันเดรียส เบรห์เม่ แบ๊กผู้ล่วงลับ คือหนึ่งในนักบอลบนวัยแห่งความฝันของผม

ผมยังไม่รู้เลยว่า “โตขึ้นมา” นอกจาก “จะเป็นคน” ต่อไปเรื่อย ๆ แล้ว

เราจะเป็นอะไร

รู้อยู่ไม่กี่อย่าง แต่อย่างน้อย 1.ต้องเรียน 2.ต้องช่วยแม่ขายของ และ 3.ต้องบ้าบอล

ผมในตอน ป.5 โชคดีเหลือหลายที่ได้ “กะลาสีเรือ” น้าตี๋ ซึ่งเป็นน้าเขย กลับจากการล่องมหาสมุทรสุดลึกล้ำกลับมาในตอนบอลโลก 1986

ทำให้เด็ก ป.5 ณ โรงเรียนศิริธนศึกษา อย่างผม ได้มีโอกาสดูบอล โดยมี “โค้ช” อยู่เคียงข้าง

เพราะน้าตี๋(ที่ผมเรียกแกว่า พี่ตี๋) เก่งเรื่องฟุตบอลอย่างมาก

หนึ่งในแมทช์ที่ไม่พลาดต่อจาก “แฮนด์ ออฟ ก๊อด” นั่นก็คือ นัดชิงชนะเลิศ ซึ่ง อาร์เจนติน่า ชนะ เยอรมันตะวันตก 3-2

ผมยังจำได้(ในตอนนั้น)ว่า “อินทรีเหล็ก” ได้ประตูตีเสมอจากการเปิดบอลลูกคอเนอร์ 2 ลูกติด ๆ จากลูกเตะเอาท์สวิงออกมาของ อันเดรียส เบรห์เม่

หลังจากนั้น พ่อที่กลับมาจากซาอุฯ หอบวีดีโอฟุตบอลกลับมาเพียบ ที่พ่อติดสงครามแล้วอัดมาให้ดู แม้จะเป็นภาพขาวดำเพราะระบบของซาอุฯ กับไทยไม่เหมือนกัน แต่หนึ่งในแมทช์สุดมันส์ที่ดูซ้ำบ่อยคือ นัดชิงปี 1986

ผมยังบอกกับพ่อว่า นัดชิงปี 1990 คู่ชิงแบบเดิม แต่ไม่สนุกเหมือนกับเกมที่พ่ออัดเทปมาให้ เหมือนกับดูสด ๆ กับพี่ตี๋เลย

นาทีที่ เยอรมันตะวันตก ล้างแค้น อาร์เจนติน่า ในนัดชิงปี 1990 เป็นช่วงรอยต่อขึ้น ม.3 ของผม ซึ่งโชคดีที่มีเพื่อนดูบอลจริงๆจังๆกัน 3 คน ที่โรงเรียนนทรีวิทยา คือ ไอ้เกรียง กับ ไอ้อุย(ปลาดุกนะ ไม่ใช่ขน)

ไอ้เกรียง มันเชียร์อิตาลี เพราะมันบอกหน้าตามันดีเหมือน นิโกลา แบร์ตี้(ตรงไหนวะ)

ไอ้อุย หุ่นลมโชยยังล้ม เป็นคนเดียวที่ใส่แว่นในห้อง มันชอบ อังกฤษ เพราะพ่อมันทำงานอยู่ บ.เซ็นลุกซ์(ฮ่า)

ส่วนผมก็กองเชียร์อังกฤษ เพราะความฝันคือ อยากไปเวมบลีย์ ตั้งแต่เห็นถ่ายทอดสดปี 1986 เอฟเอ คัพ 555555555+

เราสามคนสะสมสติ๊กเกอร์ พานินี่ เป็นครั้งแรก แพงมาก 1 ซอง 4 แผ่น 7 บาท

ด้วยความพยายาม ผมกับไอ้อุยทำสำเร็จ(ไอ้เกรียงมันยอมแพ้แต่ช่วยซื้อมาให้เราติด….ดีมาก) และไปแลกของรางวัลที่พระโขนง โดยของรางวัลคือ จิ๊กซอว์ขนาดยักษ์ เป็นรูปของ ปีเตอร์ ชิลตัน

……ในนัดชิง พวกเราเชื่อว่า มาราโดน่า “เล่นนัดเสียนัด” มันจะพอดี ตามที่ได้ยิน “พี่โย่ง” บรรยายว่า ดีนัดเสียนัด เรานั่งล้อมวงคุยกันใต้ต้นหูกวางที่เนื้อในเม็ดของมันรสชาติประดุจ “แอลม่อน” เราทุบกินไป คุยเรื่องบอลโลกอย่างมีความสุข

พวกเราคิดเหมือนกันว่า เยอรมันตะวันตก จะล้างแค้นได้

แล้วพวกเราก็ได้เห็นอะไรที่คนทั้งโลกไม่เคยเห็น!!!!!

การแข่งขันรอบชิงชนะเลิศฟาดแข้งกันที่ สตาดิโอ โอลิมปิโก้ กรุงโรม อาร์เจนติน่า ที่สภาพสะบักสะบอม เหลือผู้เล่น 10 คนตั้งแต่นาทีที่ 65 เปโดร มอนซอน ไปโดนใบแดงไล่ออกจากสนามเป็นคนแรกในประวัติศาสตร์นัดชิงบอลโลก

ก่อนที่ เยอรมันตะวันตก จะมาได้จุดโทษในนาทีที่ 85

โลธ่าร์ มัทเธอุส ที่มีการเปิดเผยภายหลังว่า ไม่ใช่ไม่กล้า แต่เพิ่งเปลี่ยนสตั๊คมาก็เลยไม่มั่นใจ(แล้วเปลี่ยนทำไมตั้งแต่เริ่ม) ก็เลยให้ อันเดรียส เบรห์เม่ เป็นมือสังหาร

แล้วก็ซัดเข้าไปไม่เหลือ

เอาเข้าจริงเกมนั้นเชื่อว่า เป็นใครก็หวั่นใจเพราะ เซร์คิโอ กอยโกเชีย นายประตูฟ้าขาว กำลังของขึ้น แกเซฟจุดโทษยับตั้งแต่รอบ 8 กับ ยูโกสลาเวีย และรอบรองฯที่เขี่ยเจ้าภาพ อิตาลี น้ำตารินที่เนเปิลส์

แกเซฟสำคัญมาสองหนติดทั้ง โรแบร์โต้ โดนาโดนี่ ยอดปีกจอมชั้นเชิง และกองหน้าอย่าง อัลโด เซเรนา

ท้ายเกม กุสตาโว่ เดซ็อตติ มาถูกไล่ออกปิดท้ายให้ “ฟ้าขาว” เหลือ 9 คน และแพ้ไปอย่างบอบช้ำ ทำให้ “อินทรีเหล็ก” ครองแชมป์โลกเป็นสมัยที่ 3 และล้างแค้น 4 ปีก่อนได้สำเร็จ

ยิ่งไปกว่านั้น ฟรานซ์ เบ๊คเค่นบาวเออร์ กลายเป็นคนแรกที่ได้แชมป์โลกในฐานะกัปตันทีม และกุนซืออีกด้วย

ว่ากันตามเชิง มันทำให้พวกเราต้องมาหันเตะบอล “ด้วยเท้าซ้าย” เพราะเห็น เบรเม่ห์ เป็นแบ๊กซ้าย แต่ยิงด้วยขวา ถือว่าแปลกใหม่มากในยุคนั้น(และอาจถึงยุคนี้)

ผมคิดว่าการที่ “คุณอาเตยหอม” พิษณุ นิลกลัด บรรยายว่า “ถนัดเท้าไหนต้องไปถามคุณแม่”

น่าจะใช่เคสนี้ของ “เบรห์เม่” หรือเปล่า ฮ่า

เพราะ เบรห์เม่ เป็นเจ้าของสถิติยิงจุดโทษ ทั้งในเวลาและยิงจุดโทษเซ็ต ด้วยเท้าซ้ายและเท้าขวาเข้าประตูคนแรก-คนเดียวของฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย จวบจนถึงปัจจุบัน

สรุปเจ้าตัวบอกว่า เขาเป็นคน “ถนัดซ้าย” แต่สามารถเล่นขวาได้สบาย ๆ

เน้นแรงใช้ซ้าย และเน้น ๆ เนียน ๆ ใช้ขวา ถือว่า น่าพิศวงยิ่งนัก…..

การใช้ขวายิงในนัดชิงบอลโลก เขาไม่เคยยิงมาก่อน ดังนั้นจึงเลือกฝั่งนี้ยิง

เพราะเชื่อว่า คู่ต่อสู้จะจับทิศไม่ได้

อื้อหือ…..เสี่ยงและกล้ามาก!!!!!!!!

….บอลโลกครั้งนั้น ยังเอาเงินผมไปอีก 200 บาท(คำว่า 200 ที่ผมใช้ก็มาจากการซื้อวีดีโอร้านซอคเกอร์สมัยนั้น) เพราะมีการรวมเพลงออกมาเป็นครั้งแรก ชื่อว่า มิวสิค วีดีโอ เวิลด์คัพ 1990

ถ้าจำไม่ผิดมีทั้งหมด 8 เพลง มีแคเมอรูน ด้วย ฮ่า

แข้งอินทรีเหล็ก คือหนึ่งในนั้น มีเพลงสไตล์ดอยช์ลันด์ขนานแท้อย่าง Wir sind schon auf dem Brenner ออกมาฟังให้เพลินหู

อูโด้ เยอร์เกนส์(Udo Jürgens) ศิลปินเอกลูกครึ่งออสเตรียสวิสส์ ร่วมร้องเพลงกับนักฟุตบอลทีมชาติเยอรมันตะวันตก ในอัลบั้ม Sempre Roma เรียกว่า มาร้องกันทั้งทีมนำโดย ฟรานซ์ เบ๊คเค่นบาวเออร์ ในฐานะของผู้นำทีม และโลธาร์ มัทเธอุส กัปตันทีม

แน่นอนว่า เบรห์เม่ ยืนยิ้มแป้นอยู่ตรงกลางร่วมขับกล่อมด้วย

นี่คือความทรงจำกับ “เลียวพาร์ด ทู” ซึ่งเคยถาม คุณอานิกร ชำนาญกุล คัมภีร์บอลเยอรมนี ก็ได้รับคำตอบว่า ฉายานี้ไม่มี วัน หรือ ทรี แต่มี ทู นี่แหล่ะ

ขณะเดียวกัน ในเรื่องของสโมสร เบรห์เม่ ถือเป็นหนึ่งในคนสร้าง “ประวัติศาสตร์” กับคำว่า “สามทหารเสือ”

ทั้งฝั่งที่คนเข้าใจถูก และเข้าใจคลาดเคลื่อน

3 ทหารเสือดัทช์ ไปดังกับ มิลาน ก่อน นั่นคือ รุด กุลลิท, แฟรงค์ ไรจ์การ์ท และมาร์โก้ แวน(ฟาน) บาสเท่น

3 ทหารเสือดอยช์ ตามมาไปดังกับ อินเตอร์ นั่นคือ มัทเธอุส, คลินส์สันน์ และเบรห์เม่

หลักใหญ่ใจความก็คือ การต่อกรของ “3ทหารเสือดัทช์” vs “3ทหารเสือดอยช์” มันเกิดในยุคที่ “เงินลีร์” กำลังยิ่งใหญ่ แต่ 3ทหารเสือดอยช์ ไม่ประสบความสำเร็จเมื่อครบองค์ประชุมที่อินเตอร์

เป็นความสับสนในแง่ของผู้รับสาร และเป็นการตีกินของผู้นำเสนอ(บางคน)เท่านั้นเอง ที่ต้องการสร้างกุศโลบายในการน่าสนใจน่าติดตาม

ยุคนั้นโควต้านักบอลต่างชาติในเซเรีย อา(หรือ ซีรีส์ เอ ในยุคนั้น) มีทั้งสิ้นทีมละ 3 คน

ปี 1987-88 มิลาน แชมป์เซเรีย อา โดยนักบอลต่างชาติคือ แวน(ฟาน) บาสเท่น กับ กุลลิท ที่เป็นดัทช์ อีกคนคือ วอลเตอร์ เบียงคี่ จากสวิตเซอร์แลนด์

ส่วน อินเตอร์ จบที่ 5 แข้งต่างชาติคือ ดาเนี่ยล พาสซาเรลล่า(อาร์เจน) กับ เอ็นโซ่ ชีโฟ่(เบลเยี่ยม)

ปี 1988-89 อินเตอร์ แชมป์เซเรีย อา โดยนักบอลต่างชาติคือ มัทเธอุส กับ เบรห์เม่ แพ๊คคู่จากบาเยิร์น และอีกคนคือ ราม่อน ดิอาซ หัวหอกอาร์เจนฯ

ส่วน มิลาน จบที่ 3 ไรจ์การ์ท มาแล้ว ร่วมงานกับ กุลลิท และ แวน(ฟาน) บาสเท่น

มาถึงปี 1989-90 นี่แหล่ะ ก่อนบอลโลก อิตาเลีย 90 จะเริ่มที่ฟูลอ็อปชั่น

คลินส์มันน์ มาจากสตุ๊ตการ์ท เสริมพลังเป็น “3ทหารเสือดอยช์” ให้กับ อินเตอร์ เพื่อชนกับ “3ทหารเสือดัทช์” ตามตำนาน

แต่แชมป์ปีนั้น ตกเป็นของ “มาเฟียแดนใต้” อย่าง นาโปลี นะครับ!!!!

ดีเอโก้ มาราโดน่า คือหัวใจ ขนาบข้างด้วยสองแข้งแซมบ้า อันโตนิโอ กาเรก้า กองหน้าเริงลีลา และ อเลเมา(หรือคนบราซิล เรียก อะ-ลา-แมว) มิดฟิลด์จอมคลาสสิกอีกราย

หนักกว่าคือ ปีต่อมา 1990-91 กลายเป็น “บลูเชอร์คิอาตี้” ซามพ์โดเรีย ที่ได้แชมป์

ปล่อยให้ มิลาน ได้ที่ 2 และ อินเตอร์ จบที่ 3 จากนั้นพวกลาซามพ์ ก็เดินทางมาเมืองไทยอีกต่างหาก!!!

แต่ผมคิดว่า ช่วงนั้่นที่มันดัง เพราะจากบอลอิตาลีที่กำลังมา การเป็นเจ้าภาพบอลโลก การรับสารฟุตบอลที่พอจะมากขึ้น แล้ว อินเตอร์ ก็ได้แชมป์ยูฟ่า คัพ บวกกับ มิลาน ได้แชมป์สโมสรโลก ซีซั่นเดียวกันในช่วงเวลาไม่ห่างกัน

คำว่า “สามทหารเสือดอยช์-ดัทช์” จึงนำมาเป็น “จุดขาย” ได้ง่ายขึ้น

แต่การได้แชมป์ลีก “ไม่ง่ายเลย”

ลงท้าย “ดอยช์” วงแตกก่อน เพราะ คลินส์มันน์ กับ เบรห์เม่ ออกจาก อินเตอร์ ในซัมเมอร์ปี 1992 โดย คลินส์ซี่ ไป โมนาโก ส่วน เบรห์เม่ ไปสเปน กับ ซาราโกซ๋า

แต่แค่ปีเดียว เบรห์เม่ ตัดสินใจกลับบ้าน และกลับไปในถิ่นที่เค้ายิ่งใหญ่อย่างแท้จริง

ใช่ครับ!!!อย่าเข้าใจผิดอีกว่า เบรห์เม่ คือผู้ยิ่งใหญ่ของบาเยิร์น แม้ว่าจะเคยได้แชมป์บุนเดสลีกา 1 สมัย กับ เดเอฟเบ โพคาล อีก 1 สมัย จาก 2 ปีที่เคยอยู่

แต่ เบรห์เม่ คือผู้ยิ่งใหญ่แห่งไกเซอร์สเลาเทิร์น

เขาเติบโตมาจากการเล่นให้กับ ไกเซอร์สเลาเทิร์น 5 ซีซั่น และติดทัพไปบอลโลก 1986 ก็เพราะผลงานอันเอกอุกับ ไกเซอร์ฯ จากนั้น 7 ปีที่เขาเดินทางไป 3 แห่ง บาเยิร์น, อินเตอร์ และซาราโกซ่า

สุดท้าย เบรห์เม่ กลับมาอยู่กับ ไกเซอร์ฯ อีก 5 ฤดูกาล ครองแชมป์เดเอฟเบโพคาล ปี 1996 แต่ตกชั้น และใช้เวลาเพียงปีเดียวได้แชมป์พร้อมเลื่อนชั้น เพื่อมาสร้างปรากฏการณ์มหัศจรรย์ของวงการเยอรมนี

นั่นก็คือ การครองแชมป์สุดมหัศจรรย์ เพียงปีเดียวในการคัมแบ๊กบุนเดสลีกา ปี 1998 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายของการเล่นอาชีพของเขาด้วย ในวัย 38 ปี

แม้จะลงเล่นน้อย แต่เขาคือผู้กุมหัวใจทีมที่มี “คิง อ็อตโต้” อ็อตโต้ เรห์ฮาเก้ล ทำทีม

เบรห์เม่ ลงสนามระดับสโมสรไปทั้งสิ้น 623 นัด ยิงได้ 80 ประตู เล่นทีมชาติทั้งยุคมีกำแพง และทุบกำแพงเบอร์ลิน รวม 86 นัด ทำได้ 8 ประตู

เชื่อเถอะครับ โลกใบนี้ได้บันทึกโมเมนต์ของเขาเอาไว้ตลอดกาล โดยไม่มีทางลบเลือน ด้วยฝีเท้าของเขาเอง

อย่างน้อยทุกเทศกาลฟุตบอลโลก 4 ปีมีหนึ่งครั้ง เราก็จะได้เห็นภาพคนผมทองวิ่งไปแปบอลเสียบมุมดิก แล้ววิ่งไปฉลองชัยกันเจียนบ้าที่ริมเส้น

ภาพนี้จะอยู่ตลอดกาล ในความทรงจำของคนฟุตบอลตลอดไป…….

เพื่อนผมคงรับรู้ได้….และคงจะได้เห็น เบรห์เม่ เตะบอลอีกฟากหนึ่งของพิภพให้ดูแบบไม่ช้า

#บีแหลมสิงห์

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *