7 พฤษภาคม 2024
hilight-หลัก Sport Story

บวกและลบหลังจบ”เกมแห่งฤดูกาล”

น่าเสียดายเหมือนกันที่ “เกมคุณภาพ” ของฤดูกาล ระหว่าง ลิเวอร์พูล กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ จบลงด้วยสกอร์ 1-1 ที่แอนฟิลด์

จบลงด้วย “ความกังขา”

ไม่แปลกที่บอกว่ามันเป็นที่ถกเถียงกัน ซึ่ง เยอร์เก้น คล็อปป์ ผู้จัดการทีม “หงส์แดง” ได้พูดอย่างชัดเจนว่า คนที่ดูฟุตบอลเป็นก็รู้ว่าจังหวะที่ เฌเรมี่ โดกู กระโดดเตะใส่ อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ เตะตรงไหนในสนามก็ฟาวล์ทั้งนั้น

นี่คือเรื่องที่เกิดขึ้นมานานแล้ว และมันไม่ใช่ปัญหาระหว่างสโมสรใดสโมสรหนึ่ง ไม่ใช่ผู้ที่ได้ประโยชน์กับเสียผลประโยชน์จากการตัดสิน

แต่มันเป็นเรื่องของ “มาตรฐาน” ที่ตั้งไว้บนความ “ไม่มีมาตรฐาน”

เป็นสิ่งที่สโมสรต่าง ๆ ต้องร่วมมือกัน ไม่ใช่มาปฏิเสธหรือทะเลาะกันเอง

ผลเสมอจากเกมบิ๊กแมทช์ที่แอนฟิลด์ แต่สิ่งที่ทุกคนควรจะจดจำมากกว่าเรื่องใด ๆ ก็คือ การต่อสู้ครั้งสุดท้ายในลีกอังกฤษของ เยอร์เก้น คล็อปป์ กับ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า

ฟากฝั่ง “หงส์แดง” แสดงคาแรคเตอร์ที่ยิ่งใหญ่กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ทีมที่ดีที่สุดในโลก นั่นเพราะ ลิเวอร์พูล ไม่ได้อยู่ในสภาพที่ดีที่สุด ต้องปะผุซ่อมอยู่ตลอดเวย์ในเรื่องการบาดเจ็บ

เราได้เห็นแพชชั่นของ เควิน เดอ บรอยน์ ในช่วงที่เปลี่ยนตัวออกมา นั่นหมายว่า เกมนี้มันกดดันอย่างมาก ไม่มีใครอยากแพ้ และว่ากันตามสถานการณ์ของ “คะแนน” แล้ว ซิตี้ต่างหากที่ต้องชนะให้ได้ เพื่อกุมความได้เปรียบ

ในครึ่งแรก ลิเวอร์พูล พยายามดิ้นรนเพื่อหนีเกมบีบและเพรสอย่างหนักหน่วงของ แมนเชสเตอร์ซิตี้ จนเล่นแทบไม่ออก กับแนวทางการเล่นมิดฟิลด์ที่เปลี่ยนไป

“ดับเบิ้ล พีวอท” นำมาใช้ แต่การยืนสลับฝั่งของ อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ กับ โดมินิค โซโบสไล ทำให้เกมพวกเขาไม่ไหลลื่น และจังหวะทรานซิชั่นฟุตบอลไม่มี

วิธีการเล่นจาก 4-3-3 กลางแบบหงาย กลายเป็นกลางแบบคว่ำ และการเล่นที่ไม่มีการเปิดบอลแบบอินสวิงจากด้านซ้ายเลย เนื่องจากต้องใช้ โจ โกเมซ มาบล็อกทางวิ่งของ ฟิล โฟเด้น ผลดีคือเกมรับแน่น แต่มันต้องแลกมากับเกมรุกที่โดดเดี่ยวของ หลุยส์ ดิอาซ ทางด้านซ้าย

อย่างไรก็ตาม ข้อผิดพลาดของ นาธาน อาเก้ ทำให้เสียจุดโทษ และ อเล็กซิส ยิงเข้า จากนั้น ลิเวอร์พูล แสดงให้เห็นว่า แรงกระตุ้นอย่างไม่น่าเชื่อ ทำให้พวกเขาเดินหน้าอย่างไม่หยุดยั้งในการโจมตีที่เกือบจะทำให้พวกเขาได้รับชัยชนะ แม้ว่า ซิตี้ เองก็มีโอกาสที่ชัดเจนเช่นกัน

ดิอาซ พลาดโอกาสที่ดีที่สุดอย่างน่าเสียดาย เมื่อจังหวะที่ โม ซาลาห์ ที่ลงสำรองมาแล้วจ่ายบอลให้อย่างเด็ดขาด

น่าเสียดายเพราะ ดิอาซ ที่เล่นได้อย่างดีเยี่ยม เต็มไปด้วยพลังและฝีเท้าอันคล่องแคล่วตลอดเกม แต่ก็ใช้โอกาสเปลืองอย่างน้อยถึง 3 ครั้งในช่วงเวลาสำคัญที่ควรจะเปลี่ยนเป็นสกอร์

ลิเวอร์พูล กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ต่อสู้กันอย่างน่าตื่นเต้นที่แอนฟิลด์ ก่อนจะแบ่งแต้มกันไป ในการเผชิญหน้าที่มีคุณภาพสูงสุด ซึ่งทั้งสองฝ่ายมีโอกาสที่จะคว้าชัยชนะครั้งสำคัญ

แมนเชสเตอร์ซิตี้ ขึ้นนำในนาทีที่ 23 เมื่อลูกเตะมุมที่ชาญฉลาดของ เควิน เดอ บรอยน์ มาให้กับ จอห์น สโตนส์ ชาร์ทง่าย ๆ เข้าไป

ฟุตบอลไม่ว่าแมทช์ใหญ่หรือเล็ก ไม่ควรพลาดลูกง่าย ๆ แบบนี้

แต่ซิตี้ก็มาเสียง่ายเช่นกัน เมื่อมาเสียจุดโทษเพียง 84 วินาทีหลังจากเริ่มต้นครึ่งหลัง เมื่อ อาเก้ จ่ายคืนหลังสั้น ดาร์วิน นูนเญซ วิ่งเสียบเข้าไปอย่างรวดเร็ว และถูกกระแทกไปกองกับพื้นโดยผู้รักษาประตูเอเดอร์ซอน

พวกเขาเสียสองเด้ง นั่นคือเสียจุดโทษ จนเป็นที่มาของประตูตีเสมอ และเอแดร์ซอนที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ดังกล่าว แม้จะกัดฟันเล่นได้สักพักก่อนจะต้องออกไปแล้วให้สเตฟาน ออร์เตก้า มาลงแทน

ในที่สุด ลิเวอร์พูลก็กลับมาแสดงพลังอย่างเต็มที่ต่อหน้าแอนฟิลด์ที่คาดหวังไว้ หลุยส์ ดิอาซ พลาดโอกาสจะ ๆ ขณะที่ ออร์เตก้า ก็เซฟสำคัญจากนูนเญซ

กลับกันก็คือ แมนฯซิตี้ ก็น่าจะได้สองประตูจาก ฟิล โฟเด้น ที่หลุดไปยิงแต่ติดเซฟ ควีวีน เคลเลเฮอร์ และช่วงนาทีท้าย ๆ เฌเรมี โดกู ยิงชนเสาไกลแล้วกระเด้งกลับมาเข้ามือ เคลเลเฮอร์ แบบเหมือนกับมีแม่เหล็กดูดบอลมาหา

สุดท้าย ลิเวอร์พูล น่าจะได้จุดโทษ เมื่อ โดกู ไปเตะ แม็ค อัลลิสเตอร์ ในเขตโทษในนาทีที่ 90+8 แต่ไม่ได้รับอะไรเลย

จนเป็นประเด็นวิเคราะห์กันไปใหญ่ว่า ผู้ตัดสินอีกแล้วที่ทำแบบนี้

1.เกมกับ สเปอร์ส ไม่ล้ำหน้าบอกล้ำ

2.เกมกับ อาร์เซนอล แฮนด์บอลแต่ไม่แฮนด์

3.เกมกับ แมนฯซิตี้

ย้ำกันอีกทีแบบที่ คล็อปป์ บอกก็คือ “คนดูบอลเป็น” ก็จะรู้ว่า มันเกิดอะไรขึ้นกับทีมของเขา และองค์กรผู้ตัดสิน

ตรง ๆ ก็คือ นี่คืออีกหนึ่งในหลักใหญ่ใจความที่ คล็อปป์ ตัดสินใจประกาศอำลาทีม

เท่ากับว่าเกมใหญ่ขนาดนี้ ความผิดพลาดไม่ได้แค่เกิดกับนักบอล แต่เกิดกับผู้ตัดสินด้วย ซ้ำแล้วซ้ำอีก พลาดแล้วพลาดอีกพลาดต่อ

เมื่อสองทีมกินกันไม่ลง หมายความว่าในตอนนี้ อาร์เซน่อล ได้เปรียบในการลุ้นแชมป์เพราะนำจ่าฝูงหลังจบแมทช์เดย์นี้

อาร์เซนอล 64 แต้ม เท่ากับ ลิเวอร์พูล แต่ประตูได้เสีย บวก 46 มากกว่า หงส์ อยู่ 7 ลูก และแมนฯซิตี้ 63 แต้ม

ลิเวอร์พูล อาจจะต้องผิดหวังที่ต้องเสียจ่าฝูงพรีเมียร์ลีกให้กับอาร์เซนอลไปในสุดสัปดาห์นี้ แต่พวกเขายังคงอยู่ในตำแหน่งที่น่าสนใจเมื่อฤดูกาลเข้าสู่ช่วงสุดท้าย

นั่นเพราะยังสามารถกำหนดชะตาได้ด้วยตนเอง

ซึ่งการเล่นอย่างไม่เกรงกลัวของเยอร์เก้น คล็อปป์ นั้น พวกเขาแสดงให้เห็นเมื่อสามารถกลับมาสู่เกม หมายความว่าพวกเขาสามารถเข้าสู่ช่วงเวลาที่กำหนดนี้ด้วยความมั่นใจ แม้จะเจอกับทีมที่ดีที่สุดในโลกอย่าง แมนฯซิตี้ ก็ตาม

10 นัดสุดท้ายของฟุตบอลพรีเมียร์ลีก และ 10 นัดสุดท้ายบอลลีกกับลิเวอร์พูล ของคล็อปป์ ของแมนฯซิตี้ ของเป๊ป และของอาร์เซนอล ของมิเกล อาร์เตต้า มันน่าตื่นเต้นมาก

จนมิอาจจะคาดเดาโดยแท้………

ก็เหมือนคำตัดสินของกรรมการนั่นแหล่ะ

อยู่ที่ว่า คนตัดสินที่ใส่ชุดสีดำทำหน้าที่ และคนตัดสินที่อยู่หน้าจอหลังจอ

จะเข้าใจฟุตบอล จะรู้จัก หรือดูบอลเป็น…..หรือเปล่า ก็เท่านั้นเอง

บีแหลมสิงห์

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *