ปฏิกริยาในการต้อนรับ เยอร์เก้น คล็อปป์ เต็มไปด้วยความอบอุ่น ระคนหลากอารมณ์ ในการลงสนามนัดแรก หลังจากการประกาศอำลาของยอดกุนซือชาวเยอรมนี ที่จะเกิดขึ้นเมื่อซีซั่นนี้จบลง
ลิเวอร์พูล เอาชนะ นอริช 5-2 ตีตั๋วเอฟเอ คัพ รอบ 5 ได้สำเร็จ
ในช่วงบรรยากาศที่แฟนบอลเดอะ ค็อป, ค็อปไพร์ โศกากันค่อนโลก
++++++++++++++++++++++++
ทีมแรกของ คล็อปป์ ในยุคนับถอยหลังสู่การเปลี่ยนแปลง มีการปรับทัพเลือกเอานักเตะอะคาเดมี่ ลงสนามตัวจริงครั้งแรกอีกราย นั้นคือ เจมส์ แมคคอนเนลล์ เดบิวต์ตัวจริงในวัย 19 ปี
เจมส์ เล่นในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวกลาง ออกสตาร์ทอย่างช้า ๆ ออกบอลแบบค่อย ๆ เล่น แต่เขาใช้เวลา 16 นาทีในการแอสซิสต์แรกของการลงสนามชุดใหญ่เป็นตัวจริงครั้งแรกในชีวิต!!!
สำหรับทีม U21 ในฤดูกาลนี้ เขาตัดบอลเฉลี่ยมากที่สุด (9.34 ต่อ 90 นาที) มากกว่าผู้เล่นคนใดในพรีเมียร์ลีก 2
เขาบรรจงเซาะมณีเปิดให้ เคอร์ติส โจนส์ โหม่งเข้าไปให้ทีมนำ 1-0
ประตู 2-1 ก็มาจากการมีส่วนร่วมสำคัญของ คอนนอร์ แบร๊ดลี่ย์ แบ๊กขวาจากอะคาเดมี่อีกคน ที่ไปแย่งบอลมาด้วยตัวเอง ก่อนจะสอดขึ้นไปจ่ายให้ ดาร์วิน นูนเญซ ที่ก่อนหน้านั้นซัดไปชนเสา คราวนี้เขาไม่พลาด
ดาร์วิน มีสถิติดีมากในการเล่นแม้จะโดนวิจารณ์ไปเรื่อยเปื่อย แต่เป็น “คนแรก” ของลีกยุโรป ที่ทำดับเบิ้ลดับเบิ้ลจากการยิง 10 จ่าย 10 และนี่คือสกอร์ที่ 11
ตั้งแต่ปีใหม่ เขาทำได้ 3 ประตู กับ 3 แอสซิสต์
+++++++++++++++++++++++
วิธีการน่าสนใจก็คือ การเล่น 4-3-3 มีการอินเวิร์สท์ด้านซ้ายด้วย โจ โกเมซ มันอาจจะไม่เรียบหรูดูดีและดุุดันเหมือน เทรนท์ แต่สร้างสมดุลย์ในเกม โดยการหักมุมเข้ามาเล่นเพื่อเปิดไลน์ให้ แบร๊ดลีย์ ที่เป็นฟูลแบ๊กธรรมชาติได้กางไปเล่นริมเส้น
กราเฟนแบร์ช ที่ถูกวิจารณ์หนักเช่นกัน ต้องไปเล่นด้านที่ไม่ถนัดอีกครั้งตามแทคติค เขาทำงานหนัก แต่กระโดกกระเดก เมื่อเทียบกับ เคอร์ติส โจนส์
พอครึ่งหลังการส่ง โดมินิค โซโบสไล ลงมา ทำให้เขากลับไปเล่นทางเดิม ก่อนจะพังประตูปิดท้ายได้ในช่วงทดเจ็บ
แน่นอนว่าเป็นธรรมชาติมากยิ่งขึ้น
+++++++++++++++++++++++
เมื่อเราเห็นการทำประตูของ ดาร์วิน นูนเญซ ทีนี้ก็ได้เห็นการยิงต่อเนื่องของ ดีโอโก้ โชต้า ในเดือนนี้นับตั้งแต่ โม ซาลาห์ ไปเล่นให้อียิปต์(และเจ็บ) เขาทำประตู กับ แอสซิสต์ รวมกันถึง 6 ลูกไปแล้ว จาก 3 ประตู 3 แอสซิสต์
โชต้า สตาร์ทในการเล่น “หน้าขวา” แบบอินเวิร์สท์ ไม่ได้ชิดเส้น แต่ยืนตรงกรอบทำให้ช่วยในการออกบอลและเข้าหาพื้นที่ของทั้ง โคดี้ กั๊คโป้ และนูนเญซ
++++++++++++++++++++++++
สิ่งสำคัญที่สุดในเกมนี้อีกอย่างหนึ่งก็คือ “ขนาดทีม”
การกลับมาอีกครั้งของ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน พร้อมด้วย โซโบสไล และเทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ทำให้หลายคนจิตใจแช่มชื่นขึ้นอีกเป็นกอง
103 วัน 21 นัด ที่ ร็อบโบ้ ไม่ได้ลงสนาม ยุติฝันร้ายซะทีตั้งแต่ไปไหล่พังในการรับใช้ชาติ ส่วน โซโบสไล เหมือนได้พัก และเทรนท์ ก็หายได้เร็วกว่าที่คิดกันเอาไว้
กรณีหนึ่งก็คือ อเล็กซิส แม็ค-อัลลิสเตอร์ ที่หายไปจากเกมนี้ มีการระบุว่า เป็นการพักเพื่อ “ไม่เสี่ยง” มากกว่าจะมีอาการบาดเจ็บที่น่ากังวล
…….ชัยชนะที่มอบให้กับเดอะ ค็อป และแน่นอนที่สุดมอบให้กับ เยอร์เก้น คล็อปป์ ที่ปลุกปั้นทีมชุดนี้ขึ้นมา พร้อมกับยังอยู่ในเส้นทาง “ลุ้นทุกแชมป์” ต่อไป
กับ ลิเวอร์พูล 2.0 ที่เหลือเชื่อว่า มันเดินทางได้แรงกว่าที่คิด
แรงปรารถนานี้ไม่รู้ว่ามันจะแรงต่อเนื่องไปถึงไหน การอำลาของยอดโค้ชจะเป็นแรงผลักหรือเกี่ยวหูกางเกงขนาดไหน
ไม่รู้
แต่ที่รู้ ๆ ไม่ใช่เกมนี้