6 พฤษภาคม 2024
hilight-หลัก Story

แผนสำริด “เดอะ ซิตี้”…..Is the Treble on?

“เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เข้าไปชิงชนะเลิศยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก หลังจากเปิดบ้านไล่ถล่ม “ราชันชุดขาว” เรอัล มาดริด แชมป์เก่า และแชมป์ 14 สมัย ขาดลอย 4-0

ซิตี้ เข้าชิงด้วยผลสกอร์รวมสองนัด 5-1 ไปดวลกับ “งูใหญ่” อินเตอร์ มิลาน ทีมดังจากอิตาลี ในวันที่ 10 พฤษภาคมนี้ ที่อิสตันบูล ประเทศตุรกี

เรอัล มาดริด แพ้ยับเยินที่สุดในรายการนี้ นับตั้งแต่โดน “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ถลุงด้วยสกอร์เดียวกันคือ 4-0 เมื่อปี 2009 ขณะที่ “เรือใบสีฟ้า” ไม่แพ้ใครในบ้านในยุโรปเป็น 26 เกม นับตั้งแต่เดือนกันยายน 2018

เป๊ป กวาร์ดิโอล่า กุนซือแมนเชสเตอร์ ซิตี้ กล่าวว่า ทีมได้ทำการขับไล่ “ความเจ็บปวด” ที่สุมอกมาตั้งแต่ปีก่อนออกไปได้สำเร็จแล้ว

“ผมมีความรู้สึกว่าเรามีอะไรอยู่ในท้องมาตั้งแต่เมื่อปีที่แล้ว มันเกิดอะไรขึ้นเมื่อฤดูกาลที่แล้วทุกคนคงทราบดีว่าเราแพ้ เรอัล มาดริด แบบเจ็บปวดที่สุด” เป๊ป กล่าว หลังจากปีก่อนพวกเขาชนะ 4-3 ก่อนจะไปแพ้ 1-2 และต่อเวลาแพ้ 1-3 ตกรอบเดียวกันนี้ไปแบบยิ่งกว่าผีหลอกเพราะเสียสองประตูในช่วงนาทีท้ายของเกม

กุนซือชาวสเปน นำทัพ ซิตี้ เข้าถึงรอบชิงชนะเลิศแชมเปี้ยนส์ลีกเป็นครั้งที่ 2 และลุ้นแชมป์รายการนี้ครั้งแรกในรอบ 12 ปีของตัวเขาเอง หลังจากเคยได้ในฐานะของนักเตะบาร์เซโลน่า ปี 1992 ตามด้วยได้ในฐานะผู้จัดการทีมบาร์ซ่า ปี 2009 และปี 2011

“ผมคิดว่าวันนี้ทุกอย่างผิดไปจากที่เรามี มันเจ็บปวดมากเมื่อฤดูกาลที่แล้ว”

สิ่งที่น่าชื่นชมก็คือ ยุทธวิธีของ เป๊ป กับโครงสร้างพื้นฐานทางการเล่น ฟุตบอลของเขาเหมือนกับว่า วิธีการเล่นในบริบทนี้ รองรับผลเชิงลึกตามแนวคิด “อินเวิร์ต แบ๊ก” (Inverted Back) ที่มากขึ้นกว่าเดิม

นอกจากจะมากขึ้นแล้ว ยังซับซ้อนกว่าที่คิด

แผนนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกในวงการ แต่ยุคโซเชี่ยลเพิ่งมีเล่น

วิธีการนำ “แบ๊กแท้” เข้ามาเล่นแบบ “แนบใน” เริ่มลงตัวมากขึ้นทุกขณะ หลังจาก เป๊ป ทดลองแผนนี้ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อไปบอลโลก เมื่อปลายปีก่อน คนที่ได้รับบทบาทนี้คือ ริโก้ ลูวิส หลังจากเคยใช้แนวทางนี้ในช่วงที่ โอเล็กซานเดอร์ ซิงเชงโก้ อยู่กับทีม รวมไปถึงเคยให้ ชูเอา กานเซโล่ เข้าไปออกบอล

ตอนนี้จุดลงตัวคือ จอห์น สโตนส์ ที่เล่นตำแหน่งนี้ เสมือนว่า “ไอ้หิน” จะเป็น “สต็อปเปอร์” ก่อนจะถึง รูเบน ดิอาส แบบกลาย ๆ

แต่ สโตนส์ กลับพัฒนาในเรื่องการครองบอล ไปกับบอล และน่ากลัวก็คือ การออกบอล

สโตนส์ มาปักตรงนี้เกือบเดือน และล่าสุด สโตนส์ ได้พลิกบทบาทสำคัญอีกอย่างคือ ถอนลงมาลึกแล้วหมุน รูเบน ดิอาส ออกไปซ้าย ที่โหดสุดคือ ของพังอย่าง มานูเอล อาคันจี กลายเป็นของดีที่เล่นได้ทุกตำแหน่งในแนวรับ โดยเขาขยับไปยืนซ้ายทำหน้าที่ได้ “ดูสมดุลย์กว่า” นาธาน อาเก้ ที่แจ้งเกิดในแผนนี้ไปแล้ว

ความแตกต่างที่สำคัญจากเกมแรก นั่นก็คือ แนวทางที่ซิตี้กดดันเรอัล มาดริด ด้วยการให้ แจ๊ก กรีลิช เข้ามาด้านในเพื่อกดดัน เอแดร์ มิลิเตา ในจังหวะเดียวกับที่ อาคันจิ กระโดดเข้าหา ดาเนี่ยล คาร์บาฆัล อย่างรวดเร็วและรุนแรง จนทำให้ เรอัล มาดริด เล่นไม่ออก ส่งผลให้ ครึ่งแรกของเกมนี้

นี่อาจจะเป็น 45 นาทีที่ดีที่สุดของการฝึกสอนของ เป๊ป ยุคที่ใช้แผนนี้ก็เป็นได้

การขยับเล่นแบบนี้ ซึ่งจริง ๆ แล้ว “อินเวิร์ตแบ๊ก” มันมาจาก “อินเวิร์ต ฟูลแบ๊ก” นักบอลด้านข้างของสนามมีเข้าใน เวลาขึ้นเกม โดยมีจุดประสงค์เพื่อปฏิบัติการณ์ “โอเวอร์โหลด” และชิงความได้เปรียบพื้นที่บริเวณแกนกลางสนามด้วยจำนวนผู้เล่นที่มากกว่า การเคลื่อนที่รูปแบบนี้ นับเป็นเรื่องที่คนละด้าน และตรงกันข้ามกับยุทธวิธีแบ๊กอื่น ๆ อย่างสิ้นเชิง

เป๊ป เคยทำทีมด้วยสไตล์ติกี้-ตาก้า (Tiki-Taka) ของ บาร์เซโลน่า ก่อนที่ “กระทิงดุ” ทีมชาติสเปน นำไปปรับและครองความยิ่งใหญ่ 3 รายการซ้อน นั่นคือแชมป์ยูโร 2008, แชมป์ฟุตบอลโลก 2010 และป้องกันแชมป์ยูโร ในปี 2012

ประเด็นคือ มันกำลังพัฒนาว่า คนที่มาเป็น อินเวิร์ต แบ๊ก ไม่ได้อยู่ตรงกลางอีกต่อไป แต่มาร่วมเป็นคนที่ถอนลงมายืดหยุ่นเล่นเกมรับได้อย่างแน่นอน และมั่นคง ไม่ใช่แค่คล่องแคล่วนำเหมือนกับครั้งก่อน ๆ

หลายคนมองว่า โครงสร้างที่ไม่สมมาตรที่ แมนฯซิตี้ ใช้มาโดยตลอด ได้ทำการกดดันไล่บีบไม่ให้ยอดทีมอย่าง เรอัล มาดริด หายใจออกอย่างสมบูรณ์ การเล่นแบบนี้การเข้าถึงแทคติคโค้ช มีส่วนสำคัญในการจำกัดการครองบอลของ เรอัล มาดริด ที่พยายามโอเวอร์โหลดทางด้านปีกซ้าย นี่คือประสิทธิภาพมาตรฐานในทุกตำแหน่ง

เรอัล มาดริด ที่พยายามเล่นกับจังหวะ แต่โดนบีบจังหวะ และวิ่งไม่ทัน แถม “ดอน คาร์โล” คาร์โล อันเชล็อตติ ปรับแทคติคผิดในแนวลึก จนเกมมันเกิดระยะห่างในการยืนแต่ละแดน ก่อนจะเปิดพื้นที่มากจนเกินไป ซึ่งมันได้เกิดขึ้นแล้ว

เป๊ป แสดงให้เห็นว่า คนพูดที่บอกถ้าไม่มีเงินจะทำได้หรือไม่ นั่นคือเรื่องหนึ่ง แต่เรื่องหนึ่งก็คือวิธีการ

มีเงินอย่างเดียวไม่พอ ต้องมีสมองด้วย

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ มีลุ้นแชมป์ใหญ่ 3 รายการในปีเดียว โดยก่อนหน้านี้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เคยทำได้ในปี 1999 นั่นคือการคว้าแชมป์แชมเปี้ยนส์ลีก, พรีเมียร์ลีก และเอฟเอ คัพ ประกาศศักดาเจ้าพ่อลูกหนังทั้งในเมืองตัวเองที่ทำให้อีกฝั่งเงียบกริบ และอีกฝั่งคำรามลั่นให้โลกรู้

พรีเมียร์ลีก ที่ว่าเหี้ยมโหดนัก กำลังเป็น ฟาร์มเมอร์ ลีก ที่โดน ซิตี้ จะเขมือบครั้งที่ 5 ในรอบ 6 ปี และเดินเข้าชิง 2 รายการด้วยสภาพการณ์ ซึ่งเราท่านสามารถทำการกำหนดสัณฐานด้วยสายตาว่า เหนือกว่าคู่แข่งทั้งผีทั้งอนาร์คอนด้า

ละม้ายคล้ายว่า จะไม่ใช่เรื่องยากซะแล้ว!!!!

บี แหลมสิงห์

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *