“เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ พลิกเกมในครึ่งหลัง กลับมาไล่ยิง “ปีศาจแดง”แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แบบไม่ต้องประกอบคำรับสารภาพไปไม่ยาก 3-1
เหนือกว่าทุกกระบวนท่า ไม่ว่าจะท่ายากท่าง่าย ตั้งแต่ต้นยันจบ!!!!!
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แพ้เกมพรีเมียร์ลีกโดยที่พวกเขาขึ้นนำในช่วงพักครึ่ง เป็นครั้งแรก นับตั้งแต่เดือนกันยายน 2014
หลังจากยิงประตูสุดยอดยิ่งกว่าผีจับยัดของ มาร์คัส แรชฟอร์ด
แล้วเราก็เห็นได้ว่า เขาแทบจะไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเอาซะเลย
ครึ่งทางของครึ่งแรก แรชฟอร์ด ยิงดีแบบพิเศษใส่ไข่หลายใบ แต่หลังจากนั้น เขาทำผลงานได้แปลกประหลาด
โอกาสจะหลุดเดี่ยว ลูกบอลดันกระเด้งติดสปินไม่เป็นใจ ทำให้พลาดโอกาส จากนั้นก็มาดันยิงวืดที่เสาไกลไปอย่างน่าเสียดาย
มันเป็นระดับการเล่นที่เขาจะต้องดีกว่านี้
กระทั่งจังหวะที่ทีมเสียประตู ถือว่าน่าเขกกะโหลกอย่างมาก เมื่อไปทิ้งตัวจังหวะที่โดน ไคล์ วอล์คเกอร์ ดึงบาง ๆ จนเป็นที่มาของการเสียประตูในแอ๊คชั่นต่อมาที่สวยงามและพิเศษไม่แพ้กันของ ฟิล โฟเด้น
……ดาร์บี้แมทช์ “แมนคูเนี่ยน” น่าสนใจมาก เพราะ แมนฯยูไนเต็ด ได้ประตูนำก่อนตั้งแต่ 8 นาทีแรกแบบเซอร์ไพรส์สุด ๆ
ผีแดงพยายามวางบอลหลังไลน์แล้วได้ประตู
แรชฟอร์ด ยิงได้พิเศษมาก ๆ และสร้างความแตกต่างให้กับเกมได้ทันที
วิธีการของ เอริค เทน ฮาก ทำได้น่าสนใจในครึ่งแรก เหมือนกับแผนงานที่เจอกับ ลิเวอร์พูล นั่นคือการเล่น 4-3-3 แต่พอรับจะใช้ กาเซมิโร่ ถอนลงมาปักหลักเหมือนเซ็นเตอร์ตัวพิเศษที่คอยสอดเข้ามาตรงกลางระหว่าง จอนนี่ อีแวนส์ และราฟาเอล วาราน
ใช้ การ์นาโช่ ถอนลงมาช่วยไล่ในแดนกลางอีกคนเพื่อช่วยแพ๊คให้กับ สก็อตต์ แม็คโทมิเนย์ และค็อบบี้ ไมนู
โดยให้ มาร์คัส แรชฟอร์ด กับ บรูโน่ เฟอร์นานเดส ใช้ยุทธวิธีสวนกลับ แต่…….
แต่เขาไม่ทำอะไรมากไปกว่าเดิมเลยในครึ่งหลัง
ทั้งที่เห็นว่า บอลมันอยู่กับ ซิตี้ ทั้งหมดแล้ว เพียงแต่จังหวะยิงของซิตี้ ทั้ง เดอ บรอยน์, ฮาลันด์, โดกู, โฟเด้น ดูร้อนรนในครึ่งแรก
ขนาด ฮาลันด์ ได้แปโล่ง ๆ ไม่ถึง 3 หลายังข้ามคาน!!!!
ซึ่งลูกนั้นมันใกล้ตัวกับคนตัวใหญ่ ถือว่าโชคร้ายที่ไม่ได้สกอร์
ซิตี้ โอกาสยิงไปถึง 17-18 ครั้ง
อังเดร โอนาน่า ก็ทำได้ดีเมื่อซูเปอร์เซฟชัดเจน 3 ดอกเห็น ๆ
อย่างไรก็ตาม เมื่อ ยูไนเต็ด ลงไปเล่นแบบเดิมทั้งหมด มันสวนทางกับเจ้าบ้าน ที่ปรับกลยุทธ์และมีวิธีการของ ซิตี้ ที่เล่นในครึ่งหลังแตกต่างจากครึ่งแรกชัดเจน
ไม่เอาบอลไปอยู่ด้านข้างมากเกินไป บีบสนามให้แคบลง แล้วเล่นดับเบิ้ลพาสต์ในแนวรุกเร็วมากยิ่งขึ้น กดจน แมนฯยู ที่ไม่เปลี่ยนแผนอะไร ยืนผิดจุดไปหลายครั้ง
บอลมันบดกระดูกมาตั้งแต่ครึ่งแรก กับโอกาสยิงมากมายบานตะไทโก้ถึง 18 ครั้ง ก่อนจะตีเสมอ 1-1 จากลูกยิงของ ฟิล โฟเด้น
ประเด็นคือ จังหวะก่อนหน้านั้น แรชฟอร์ด มีปะทะกับ วอล์คเกอร์ แล้วไม่ฟาวล์
ที่ไม่ต้องเช็กอะไรกันมาก เพราะ แรชฟอร์ด ล้มง่ายไปหน่อยนั่นเอง ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่า แกจะล้มไปทำไม
ซิตี้ เอาบอลกลับมาต้องชม โฟเด้น ที่ยิงได้สวยสดงดงามยิ่งพิเศษมากก่อนที่จะมายิงอีกประตูกำชัย
การต่อบอลง่าย ๆ เข้าไปยิงเป็นประตูที่ 78 ของ โฟเด้น แซงหน้า ดาบิด ซิลบา ตำนานทีม 1 ใน 4 รูปปั้นหน้าสนาม ตอกย้ำให้เห็นว่า ยิ่งนานไปในเกม แผลก็ยิ่งเปิด และเพื่อนบ้านผู้น่ารำคาญก็เอาชนะไปได้อีกครั้งแบบไม่ได้ฟลุ๊ค หรือว่าผิดคาดอะไรเลย
ยิ่งการเล่นของ โซฟียาน อมาราบัต แสดงให้เห็นแล้วว่า “ทำไม” หลังจากบอลโลก ไม่เห็นจะมีใครอยากได้ไปร่วมทีม
เสียบอลแบบ “สุกร-ดิเรก” แบบนั้นหน้าประตูตัวเองมันจะเหลืออะไร แล้ว ฮาลันด์ ก็สำเร็จโทษอย่างสาสมใจ ลบความโมโหสุมอกของตัวเอง
……3-1 ตอกย้ำคุณภาพของสองทีมเมืองแมนเชสเตอร์ โดยเฉพาะเมื่อ ยูไนเต็ด ต้องส่งสำรอง และดาวรุ่งลงสนาม มันสะท้อนให้เห็นชัดเจนยิ่ง
ขนาด “นักเตะชุดใหญ่” ไม่ว่าจะทีมไหนก็สู้กับ ซิตี้ ได้ยากอยู่แล้ว
ยิ่งถ้าเป็นลูกผสม,เป็นดาวรุ่ง หรือตัวสำรอง ยิ่งงานหนักหนาสาหัส และระดับมันยิ่งจะห่าง
ยิ่งกุนซือไม่ได้แก้อะไร ใช้วิธีการเดียวคือ “ตั้งการ์ด”และเมื่อทีมเสียประตูกำลังใจเสีย ก็ไม่ได้มีอะไรไปกว่ายืนคอย่นอยู่อย่างนั้น
ตรงข้ามกันกับ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ทำสถิติพรีเมียร์ลีก ชนะไปกลับเหนือ แมนฯ ยูไนเต็ด 3 ฃีซั่น
◎ 2018/19
◎ 2021/22
◉ 2023/24
ส่วนการต่อกรลุ้นแชมป์ยังคงตื่นเต้นต่อไป ซิตี้ ขยับตาม ลิเวอร์พูล เหลือ 1 คะแนน ก่อนจะเจอกันที่แอนฟิลด์ในวันอาทิตย์หน้า
จะบอกว่าตัดสินแชมป์หรือไม่นั้น ไม่รู้เหมือนกัน เพราะอย่าลืมว่าปีนี้ ม้าวิ่งกันมาถึง3ตัว
แต่เป็นการตัดไม้ข่มนาม และตัดคู่แข่งกันไปเลยก็ได้
ว่าแต่วันนี้ “ไอ้ลูกข่าง” มันลงไปทำอะไรครับพรี่!!!!!!